กินไม่ได้แต่เท่ :สุขุม นวลสกุล


 

ปกติแล้วบริษัททุกแห่งปรารถนาให้พนักงานของบริษัทมีความรักและผูกพันกับบริษัท  ตั้งใจจะทำงานกับบริษัทไปแม้ไม่ถึงขั้นตราบชั่วฟ้าดินสลาย  แต่ตราบนานเท่านั้น   จะลาออกต่อเมื่อมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด เช่น มีการย้ายภูมิลำเนา  จำเป็นต้องไปเรียนต่อ  เป็นต้น   แต่ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติในชีวิตแล้วก็พอใจที่จะทำงานอยู่กับบริษัทที่ทำอยู่

                เมื่อใดจำเป็นต้องลาออกก็แสดงความอาลัยอาวรณ์   หลั่งน้ำตาในงานเลี้ยงอำลา   ไม่ใช่ประกาศความดีใจที่จะได้พ้นทุกข์พ้นโศก  ลิงโลดเหมือนกับได้ออกจากคุกตะราง…….แฮ่

                เพราะถ้าบริษัทแน่ใจว่าพนักงานจะทำงานกับบริษัทยาวนาน  บริษัทก็จะได้ประโยชน์จากประสบการณ์ของพนักงาน  เพราะคนเรานั้นโดยธรรมชาติเมื่อทำงานนานเข้าคุณภาพก็ควรเพิ่มขึ้นด้วย อย่างน้อยก็คือความชำนาญไงครับ   แต่ก็มีเหมือนกันนะครับ  พวกที่เกิดเป็นคนแต่ไม่ได้เป็น “เวไนยสัตว์”ตามหลักพุทธศาสนาหมายถึงเป็นสัตว์ที่สอนได้ แต่กลับเป็นสัตว์ที่สอนไม่ได้หรือเรียนไม่เป็น  ทำงานนานเท่าไหร่ก็ไม่พัฒนา  เอาแต่ทำงานซ้ำซากแถมบางทียังรู้มากเอาเปรียบบริษัทมากขึ้น แย่กว่าเดิมเสียอีก

                ถ้าเป็นประเภทหลังนี่  ทางบริษัทก็คงไม่เสียดายหรอกถ้าจะลาออก  เผลอ ๆ บริษัทจะหาทางกำจัดพนักงานประเภทนี้ด้วยซ้ำไป     แต่โดยทั่วไปแล้วคนเรายิ่งทำงานก็น่าจะพัฒนาดีขึ้นทั้งนั้น  เพราะฉะนั้นแต่ละบริษัทมักพยายามหาทางจูงใจให้พนักงานมีความพอใจที่จะทำงานกับบริษัทไปตลอด  

                เพราะถ้าแน่ใจว่าพนักงานจะอยู่ยาวกับบริษัท   ทางบริษัทจะทุ่มเทลงทุนในการพัฒนาพนักงานก็จะทำด้วยความสบายใจ  เพราะเป็นการหว่านพืชโดยหวังผลได้แน่นอน  ส่งไปอบรมเสียเงินเสียทอง  ทุ่มทุนให้ไปดูงานต่างประเทศ มีความรู้ความสามารถมากขึ้นก็จะใช้ศักยภาพในการทำประโยชน์ให้กับบริษัทคุ้มหรือบางทีอาจเกินคุ้มกับที่ลงทุนไป

                ไม่ใช่อุตส่าห์พัฒนาจากพนักงานไร้เดียงสากลายเป็นคนมีฝีมือหรือผู้เชี่ยวชาญ  แต่พอมีโอกาสกลับขอลาออกไปอยู่บริษัทอื่นเสียนี่  เพราะเท่ากับสร้างคนให้กับบริษัทอื่น   เจอแบบนี้เข้าไม่กี่ราย  บริษัทก็ไม่อยากพัฒนาพนักงานแล้ว  ใครจะมีกำลังใจลงทุนเพื่อการสูญเปล่าละครับ  อย่าทำให้เก่งขึ้นมาเลยเดี๋ยวไปที่อื่น  ปล่อยให้โง่ดักดานแบบนี้แหละ  มันจะได้ไม่มีทางไป  เป็นอย่างนั้นไป

                ดังนั้นทุกบริษัทต้องมีนโยบายหรือกลยุทธที่จะทำให้พนักงานเมื่อเข้ามาแล้วแม้จะไม่ถึงขั้นรักแต่ก็ต้องพอใจที่จะทำงานไปกับบริษัท โดยไม่มีอาการวอกแวก  นั่งหรือยืนทำงานอยู่กับเรา  แต่สายตาสอดส่ายหาช่องทางที่จะไปอยู่กับบริษัทอื่น  หว่านใบสมัครไว้ที่โน้นที่นั่น  พร้อมเสมอที่จะลุกออกจากที่เดิมเพื่อไปทำงานที่ใหม่

                โดยปกติสิ่งที่จูงใจให้พนักงานอยู่กับบริษัทได้มากที่สุดน่าจะเป็นเรื่อง “ผลประโยชน์”   เพราะแม้ไม่ค่อยจะมีใครสารภาพว่าเป็นคนเห็นแก่ได้    แต่เชื่อเถอะถ้าจะได้ไม่มีใครรังเกียจ  หรือถ้าไม่ได้ก็อาจไม่เห็นอะไร……..ฮ่า

                เพราะฉะนั้น บริษัทไหน เงินเดือนดี รายได้งาม สวัสดิการแยะ  ย่อมเป็นบริษัทที่ใคร ๆ ก็อยากเข้าทำงานและหากมีโอกาสทำงานแล้วก็ไม่ยอมลาออกไปไหน   แถมยังกลัวโดนให้ออกเสียอีก  ซึ่งถ้ารู้สึกขนาดนั้นก็จะขยันขันแข็งแข่งกันเป็นพนักงานดีเด่น  เพื่อที่บริษัทจะได้พอใจอยากอนุรักษ์ไว้เพราะมีคุณค่ากับบริษัท   ไม่เก็บคนประเภทนี้ไว้แล้วจะให้บริษัทจำเริญรุ่งเรืองได้อย่างไร

                แต่สิ่งที่อยากเสนอในบทความนี้คือสิ่งที่อาจไม่ใช่ผลประโยขน์แต่น่าจะเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้พนักงานมีความผูกพันและอยากทำงานกับบริษัท  นั่นก็คือ “ความภาคภูมิใจ”  จึงได้ตั้งชื่อเรื่องนี้ว่า “กินไม่ได้แต่เท่”ไงละครับ  เพราะเรื่องอย่างนี้ทำให้พนักงานยืดอกเข้าสู่สังคมได้อย่างสง่าผ่าเผยไม่ใช่พูดคุยกับใครก็ไม่กล้าบอกว่าทำงานที่ไหน  อะไรอย่างนี้เป็นต้น

                คนสองคนทำงานประเภทเดียวกันแต่คนละแห่ง  คนหนึ่งอาจจะเป็นคนชอบคุยอวดว่าตนเองทำงานที่ไหนแต่อีกคนหนึ่งอาจกระมิดกระเมี้ยนไม่ยอมบอกใครว่าทำงานที่ไหน  เช่น ทั้งสองคนทำงานโรงแรม  คนหนึ่งทำงานโรงแรมห้าดาวระดับอินเตอร์มีสาขาทั่วโลก  แต่อีกคนหนึ่งทำงานโรงแรมม่านรูด   แน่นอนครับคนหลังนี่ใครถามว่าทำงานที่ไหนคงตอบอ้อมแอ้มว่า “โรงแรมแห่งหนึ่ง”  แล้วรีบปลีกตัวจากไปไม่เปิดโอกาสให้ถามว่า “โรงแรมอะไร”   ผิดกับคนแรกที่อาจจะไม่รอให้คนถาม แต่รีบแนะนำตัวเองว่าทำงานที่ไหน  แถมยังแจกนามบัตรอีกด้วย

                เพราะฉะนั้นผู้คนจึงพยายามหาช่องทางทำงานกับบริษัทใหญ่ ๆ ที่มีชื่อเสียงหรือมีสินค้าคุณภาพดีเด่นเป็นที่ยอมรับของสังคม  เหตุเพราะอิทธิฤทธิ์ของสิ่งที่เรียกว่า “กินไม่ได้แต่เท่” หรือ “ความภาคภูมิใจ” มีส่วนอยู่ เห็นด้วยไหมครับ  ผมเองก็เจอมนตราบทนี้กับเขาเหมือนกัน  จึงขอนำมาเล่าให้ฟัง

                เมื่อตอนผมเรียนจบและอยากเป็นอาจารย์   แต่เดิมไม่ได้ตั้งใจจะเป็นอาจารย์รามคำแหงหรอกครับ  เพราะตอนนั้นรามคำแหงเพิ่งตั้งใหม่ ๆ ยังไม่มีชื่อเสียงและทำท่าจะมีชื่อเสียด้วยซ้ำไป  เนื่องจากรับสมัครนักศึกษาโดยไม่คัดเลือก เลยโดนปรามาสจากนักวิชาการทั้งหลายว่าคงยากที่จะเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีได้ บางคนทำนายว่าจะกลายเป็นซ่องโจรโน้นแน๊ะ

                แต่ไปสมัครที่มหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่เคยเรียนมาเขาก็ไม่รับ  จึงต้องซมซานมารามคำแหง  ด้วยความตั้งใจว่าจะอยู่ที่นี่สักพักพอปีกกล้าขาแข็งค่อยหาทางขยับขยายไปอยู่ที่อื่น  ที่คิดอย่างนั้นก็เพราะเสียววิพากษ์วิจารณ์ของสังคมขณะนั้น  แต่ไป ๆ มา ๆ  ผมกลับอยู่รามคำแหงชั่วชีวิตการทำงานประจำเลยละครับ  อยู่จนได้เป็นหัวหน้าซ่องโจร เอ๊ย…..อธิการบดี  ก็เพราะ “กินไม่ได้แต่เท่”นี่แหละครับ

                ผมโดนคาถาของอธิการบดีท่านแรกของมหาวิทยาลัยในวันปฐมนิเทศอาจารย์ใหม่  ผมยังจำได้และนำมาใช้สมัยผมเป็นอธิการบดี  ในขณะที่เราเข้าทำงานเพราะความจำใจหางานที่อื่นยังไม่ได้  ท่านกล่าวว่า

“ขอให้อาจารย์ทุกคนจงภาคภูมิใจที่ได้เป็นอาจารย์รามคำแหง  เพราะเราทำงานสำคัญให้กับสังคมยิ่งกว่าอาจารย์มหาวิทยาลัยไหน  ลองคิดดูซี อาจารย์ที่อื่นทำงานง่ายจะตาย เอาเอ็นทรานซ์ไปคัดเด็กเก่ง ๆ ไปสอน  แต่อาจารย์รามคำแหง ต้องเอาเด็กที่เอ็นท์ไม่ติด  เอาคนที่ทำงานแล้วแล้วแต่ยังอยากเรียน  เอาคนแก่แล้วแต่อยากเรียน  เราต้อง “ปั้นดินให้เป็นดาว”

คำว่า “ปั้นดินให้เป็นดาว” นี่สะกดผมให้เต็มอกเต็มใจและภาคภูมิใจในการเป็นอาจารย์ที่รามคำแหง  อยู่ยาวนานจนใครต่อใครเรียกว่า “สอนราม”……..แฮ่

เพราะฉะนั้น จึงอยากแนะนำบริษัทต่าง ๆ  ว่านอกเหนือจากรายได้และสวัสดิการดี ๆ แล้ว   อย่าลืมนะครับ มีสิ่งที่เรียกว่า “กินไม่ได้แต่เท่” หรือ “ความภาคภูมิใจ”ที่เอามาผูกพนักงานให้อยู่กับบริษัท   ลองหาจุดที่จะนำไปสู้ความรู้สึกนี้ทางใดทางหนึ่ง  เช่น  มาช่วยกันเป็นแนวหน้าในการสร้างบริษัท  มาช่วยกันทำให้คนไทยมีความสุขกับผลิตภัณฑ์ของเรา  สินค้าเรามีประโยชน์ต่อสังคมอย่างไร

ลองหาแง่มุมที่จะใช้เป็นพลังผลักดันให้พนักงานเกิดความรู้สึก “ความภาคภูมิใจ”   จะทำให้ได้พนักงานที่มีประสิทธิภาพขึ้น