ทำไมธุรกิจยุคนี้ต้องทรานส์ฟอร์มถึงจะอยู่รอด
การทำธุรกิจสมัยนี้ เราไม่อาจทำแบบเดิม ขายแบบเดิม บริหารแบบเดิมได้อีกต่อไป เพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยมากขึ้นจึงเข้ามาเปลี่ยนแปลง ทำให้ธุรกิจที่ทำอยู่ดียิ่งขึ้น
หากใครทำธุรกิจโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ คงจะเคยได้ยินคำว่า ค่าเงินบาทแข๋็งค่า, ค่าเงินบาทอ่อน กันอยู่เป็นประจำ เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องและส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ส่งออก ผู้นำเข้า นักลงทุน และผู้ที่กู้เงินตราต่างประเทศ ซึ่งมีทั้งผู้ที่ได้ และเสียประโยชน์ โดยตรง
เพื่อความเข้าใจเรื่องค่าเงินให้มากขึ้น เพจเฟซบุ๊กธนาคารแห่งประเทศไทย โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่อง ค่าเงินบาทแข็ง VS ค่าเงินบาทอ่อน ใครได้ใครเสีย? เพื่ออธิบายเรื่องดังกล่าวโดยมีรายละเอียดดังนี้
ค่าเงินบาทแข็ง VS ค่าเงินบาทอ่อน
***หากสมมุติว่า วันนี้ ค่าเงินบาทอยู่ที่ 33 บาท = 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ
เมื่อค่าเงินบาทแข็ง คือการใช้เงินบาทน้อยลง ในการแลกสกุลเงินอื่นในจำนวนเท่าเดิม
32 บาท = 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ใครบ้าง ที่ได้ประโยชน์?
ใครบ้าง ที่เสียประโยชน์?
เมื่อค่าเงินบาทอ่อน คือการใช้เงินบาทมากขึ้น ในการแลกสกุลเงินอื่นในจำนวนเท่าเดิม
34 บาท = 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ใครบ้าง ที่ได้ประโยชน์?
ใครบ้าง ที่เสียประโยชน์?
แบงก์ชาติ ระบุในโพสต์ดังกล่าวด้วยว่า ในช่วงที่เงินบาทแข็งค่า จะเป็นช่วงจังหวะที่ดีที่ผู้ประกอบการจะปรับโครงสร้างการผลิต โดยนำเข้าสินค้าทุนจากต่างประเทศ เช่น เครื่องจักร อุปกรณ์ต่างๆ ได้ในราคาที่ถูกลง และลงทุนในต่างประเทศเพื่อขยายช่องทางการค้าได้ในต้นทุนที่ต่ำลง รวมไปถึงการกระจายการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (portfolio diversification) เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน
ทั้งนี้ การดูแลค่าเงินบาทต้องพิจารณาผลกระทบให้รอบด้าน และเป็นไปไม่ได้เลยที่แบงก์ชาติจะทำการฝืนตลาดเพื่อทำให้ค่าเงินบาทอ่อนหรือแข็งค่า การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน จะเป็นไปตามกลไกตลาด โดยแบงก์ชาติจะดูแลค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวนมากจนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
ที่มาจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย – Bank of Thailand