สสว. ร่วมกับ ศปพอ. แก้ปัญหา SMEs ไทย ที่ขาดความเข้าใจและไม่เห็นประโยชน์การเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ ขณะที่รายงานการศึกษาพบว่า ความสามารถในการตอบโต้กับภัยพิบัติของ SMEs ส่วนใหญ่อยู่ในขั้นวิกฤต จำเป็นต้องเร่งเสริมความรู้เรื่องการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติเป็นอันดับแรก
จากบทเรียนความเสียหายที่มาจากภัยพิบัติธรรมชาติ หลาย ๆ เหตุการณ์ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งผู้ประกอบการบางรายอาจจะยังสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ หรือบางรายอาจพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส แต่สำหรับบางรายนั้นก็ต้องปิดกิจการไปเพราะต่อสู้กับภัยพิบัติดังกล่าวไม่ไหว ภาคเอกชนจึงควรมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และบทเรียนที่ได้รับจากอุทกภัยครั้งก่อนด้านการใช้แผน BCP เพื่อรับมือ และฟื้นฟู ในกรณีเหตุการณ์ฉุกเฉิน นอกจากนี้ยังมีการป้องกัน และลดการหยุดชะงักของธุรกิจซึ่งเกิดจากภัยพิบัติด้วย
ดร.วิมลกานต์ โกสุมาศ รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เผย จากสถานการณ์ภัยแล้ง ในปี 2553 สร้างความสูญเสียให้กับเศรษกิจไทยถึง 1,415 ล้านบาท ขณะที่เหตุการณ์มหาอุทกภัย ปี 2554 ได้สร้างความสูญเสียเป็นมูลค่าถึง 1.4 ล้านล้านบาท และด้วยความเสียหายเหล่านี้นับเป็นสัญญาณเตือนถึงสถานภาพความเปราะบางของ SMEs ยามที่ประสบภัยพิบัติ
ด้วยเหตุนี้ ภาครัฐจึงให้ความสำคัญในเรื่องของการรับมือกับสถานการณ์ภัยพิบัติ โดยได้มีการดำเนินการช่วยเหลือส่งเสริมให้เอกชนสามารถป้องกันและลดความรุนแรงจากผลกระทบภัยพิบัติได้ ซึ่งที่ผ่านมามีการริเริ่มนโยบายและมาตรการมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการการช่วยเหลือทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็น การยกเว้นภาษี การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และการช่วยค่ำประกันสินเชื่อ ในเวลาเดียวกัน ยังมีการส่งเสริมให้ภาคเอกชนนำมาตรฐาน IOS 22301 ว่าด้วยการบริหารจัดการธุรกิจอย่างต่อเนื่องไปใช้ในการดำเนินธุรกิจ
ทั้งนี้ สสว. เองก็ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ เป็นหนึ่งในภารกิจเร่งด่วนในการส่งเสริม SMEs โดยจัดให้เป็นองค์ประกอบสำคัญในยุทธศาสตร์การสนับสนุนปัจจัยแวดล้อมให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจของ SMEs ไทย ภายใต้แผนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อท ฉบับที่ 3 (2555-2559) ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมสนับสนุนความเข้มแข็งและความสามารถเชิงการแข่งขันของ SMEs โดยครอบคลุมถึงการส่งเสริมให้มีการเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ และช่วยเหลือให้จัดสร้างระบบตอบโต้กับภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ
ดร.วิมลกานต์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา สสว. ได้จัดทำมาตรการขึ้นมาหลายมาตรการ เพื่อช่วยให้ SMEs ให้สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และพร้อมกลับมาสร้างงานได้อย่างเต็มที่ อาทิ จัดตั้งศูนย์ประสานความช่วยเหลือ SMEs ผ่าน สสว. Call Center 1301 จัดตั้งคณะทำงาน SME Clinic เพื่อให้คำปรึกษษเชิงธุรกิจ ริเริ่มมาตรการฟื้นฟูต่าง ๆ เช่น SME Ambulance, SME Office Park and SME Factory Park, และโครงการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อรองรับภัยพิบัติ ให้ความสนับสนุนทางการเงินในโครงการอุดหนุนดอกเบี้ย ซึ่งที่ผ่านมามีผู้ประกอบการจำนวน 15,335 ราย ที่ได้รับความช่วยเหลือจากโครงการนี้ รวมเป็นมูลค่าความช่วยเหลือที่อนุมัติ จำนวน 240 ล้านบาท ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความตื่นตัวในหมู่ SMEs ในการจัดทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ และแผนบริหารจัดการธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน รายงานจากมูลนิธิเอเชีย ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำงานร่วมกับศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย (ศปพอ.) และศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (ยูที ซีซี) ซึ่งได้ทำการสำรวจความพร้อมของ SMEs ไทย ในการรับมือภัยพิบัติ เมื่อปี พ.ศ 2556 โดยส่งแบบประเมินตนเองไปยัง SMEs จำนวน 429 ราย ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พิษณุโลก อุบลราชธานี เชียงราย สงขลา และภูเก็ต ซึ่งเป็นจังหวัดที่มักเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ อาทิ พายุไซโคลน น้ำท่วม ภัยแล้ง ดินถล่ม และสินามิ
ซึ่งผลการวิเคราะห์เชิงลึกชี้ว่า 73.2% ของผู้ตอบแบบประเมิน ยังไม่มีแผนบริหารจัดการความเสี่ยงภัยพิบัติใด ๆ เลย และแทบไม่มีบริษัทใดที่มีข้อมูลหรือแผนรับมือวิกฤติจากภัยธรรมชาติ ทั้งที่บริษัทเหล่านี้ล้วนเคยได้รับความเสียหายอย่างหนักมาแล้วจากภัยธรรมชาติ
รายงานดังกล่าวยังระบุอีกว่า SMEs ไทย ส่วนใหญ่ไม่รู้สึกว่าการวางแผนการบริหารจัดการความเสี่ยงภัยพิบัติ (Disaster Risk Management-DRM) เป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากขาดความรู้ความเข้าในเนื้อหาสาระของแผน DRM ว่ามีมากมายและยังสามารถปกป้องผู้คน สถานที่ และทรัพย์สินได้
ทั้งนี้ รายงานดังกล่าวยังชี้ให้เห็นปัญหาว่า ความเปลี่ยนแปลงในสภาพดินฟ้าอากาศมีแนวโน้มจะรุนแรงมากขึ้นในรอบ 50 ปีข้างหน้า ภัยน้ำท่วม ซึ่งเป็นภัยพิบัติตามธรรมชาติที่ผลัดกันมาทุกปี นับวันจะยิ่งทวีความถี่และความร้ายแรงมากขึ้น ประเทศไทยจึงต้องปรับตัวและเตรียมพร้อมตั้งรับเอาไว้ ในขณะเดียวกัน SMEs เองก็จำเป็นจะต้องมีส่วนกำหนดยุทธศาสตร์เรื่องนี้ด้วย
สำหรับการสัมมนาในครั้งนี้ สสว. ศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย (ศปพอ.) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และ The JTI Foundation ได้ร่วมกันจัดขึ้นเพื่อสร้างความก้าวหน้าแก่การส่งเสริม SMEs ดำเนินการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ (Disaster Risk Reduction) พร้อมกับเร่งจัดทำแผนการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง