จับตา 10 เทรนด์เศรษฐกิจโลก ส่อแววกระทบสิงคโปร์ ปี 68
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ รายงานว่า กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ (Ministry of Trade and Industry: MTI) คาดการณ์ว่าในปี 2568 อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่แท้จริง (Real GDP) จะอยู่ระหว่าง 1% ถึง 3% ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ในปี 2567 ที่ 4% แนวโน้มนี้สะท้อนถึงความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยมีปัจจัยสำคัญ ได้แก่ ความขัดแย้งทางการค้า ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกที่ส่งผลกระทบต่อสิงคโปร์
1. สงครามการค้า (Trade War)
นโยบายการค้าของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีคนใหม่ในปี 2568 มีแนวโน้มสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจโลก โดยการจัดเก็บภาษีศุลกากรที่เข้มงวดอาจทำให้ต้นทุนสินค้านำเข้าและส่งออกทั่วโลกสูงขึ้น แม้ว่าสิงคโปร์จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่การลดลงของอุปสงค์ทั่วโลกจะส่งผลกระทบต่อปริมาณการค้า ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจสิงคโปร์
2. การเติบโตที่ช้าลงของจีน (Slower Growth in China)
เศรษฐกิจของจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของสิงคโปร์ กำลังเผชิญกับความท้าทาย อัตราการเติบโตของ GDP ของจีนคาดว่าจะลดลงเหลือ 5% ในปี 2568 ปัจจัยภายใน เช่น การบริโภคที่ลดลงและการจัดการที่เข้มงวดในภาคอสังหาริมทรัพย์ กำลังสร้างแรงกดดันต่อการนำเข้าและการผลิตในภูมิภาคนี้
3. แรงกดดันด้านเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย (Inflation and Interest Rates)
แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่เกิดจากต้นทุนสินค้าสูงขึ้นส่งผลให้นโยบายการเงินของสิงคโปร์มีความซับซ้อน ธนาคารกลางของสิงคโปร์อาจต้องปรับอัตราแลกเปลี่ยนและดอกเบี้ยเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
4. ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งค่า (Strong US Dollar)
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งค่าในช่วงเศรษฐกิจผันผวนอาจทำให้ต้นทุนการส่งออกของสิงคโปร์เพิ่มขึ้น การปรับค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันจึงมีความสำคัญ
5. ความผันผวนของตลาดการเงิน (Financial Market Volatility)
การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นในสหรัฐฯ ที่เกิดจากความคาดหวังในการเติบโตของบริษัทเทคโนโลยี อาจก่อให้เกิดฟองสบู่ในตลาดการเงิน ความเสี่ยงจากการปรับฐานของตลาดหุ้นโลกอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสิงคโปร์
6. ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Conflicts)
ความขัดแย้งในตะวันออกกลางและสงครามในยูเครนที่ยืดเยื้อ อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและห่วงโซ่อุปทานโลก สิงคโปร์อาจเผชิญกับการชะลอตัวของการค้าและการลงทุน
7. ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Prices)
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น พลังงานและอาหาร อาจเพิ่มขึ้นจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ แม้ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจะจำกัดความต้องการ แต่ปัจจัยภายนอกยังสร้างความผันผวนในตลาด
8. การเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Rewiring)
สงครามการค้าส่งผลให้บริษัทต่างๆ พยายามปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทาน สิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนในภาคเซมิคอนดักเตอร์ แต่การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของสินค้า
9. สงครามเทคโนโลยี (Tech War)
การเพิ่มความเข้มงวดในกฎระเบียบของกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยีขั้นสูงอาจสร้างแรงกดดันต่อการลงทุนใหม่ๆ ในสิงคโปร์
10. ความเสี่ยงของตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market Risks)
เศรษฐกิจในตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาจเผชิญกับความไม่แน่นอนจากความผันผวนของเงินทุนและอุปสงค์ที่ลดลง
ปี 2568 เป็นปีที่สิงคโปร์ต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อน การปรับตัวให้มีความยืดหยุ่นและติดตามสถานการณ์โลกอย่างใกล้ชิดเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับไทย การกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจผ่านการพัฒนาเทคโนโลยี การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต และการขยายตลาดส่งออก จะช่วยลดผลกระทบจากปัจจัยภายนอก และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก