Life Style

กินยาปฏิชีวนะหยุดอาการท้องเสียจริงหรือ ?

หลายคนเวลาเกิดอาการท้องเสีย มักกินยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียต้นเหตุอาการท้องเสีย  แต่คุณรู้หรือไม่ว่าอาการท้องเสียส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย จากการสำรวจพบว่าคนท้องเสีย 100 คน จะมีคนท้องเสียที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเพียง 5 คนเท่านั้น  ดังนั้นการกินยาปฏิชีวนะจะใช้ได้ผลกับอาการท้องเสียที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น  การกินยาปฏิชีวนะทุกครั้งที่ท้องเสียจึงเสี่ยงต่อการแพ้ยาทำให้เชื้อดื้อยา และเปลืองเงินโดยเปล่าประโยชน์ วิธีที่ดีที่สุดในการรักษาอาการท้องเสียคือ ดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่ร่างกายสูญเสียไป  เลือกทานอาหารอ่อน ๆ งดอาหารรสจัดและย่อยยาก และไม่ควรดื่มนม หากไม่อยากให้ท้องเสียคุกคามสุขภาพตัวคุณเอง ต้องเลือกทานอาหารที่สุกใหม่  ดื่มน้ำสะอาด และล้างมือก่อนรับประทานอาหาร เพียงเท่านี้ท่องไว้ให้ขึ้นใจรับรองห่างไกลโรคท้องเสียแน่นอน   ขอขอบคุณภาพจาก กรุงเทพธุรกิจ

โรคที่มากับฤดูหนาว

สภาพอากาศในแต่ละวันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บางวันมีทั้งอากาศร้อน ฝนตก หรืออากาศหนาว ร่างกายคนเรานั้นปรับสภาพตามฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งความเปลี่ยนแปลงกระทันหันของสภาพอากาศในแต่ละวันนั้นปัจจุบันแทบจะถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ร่างกายของเราจะปรับสภาพตามอากาศไม่ทัน ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย ตามมา ยิ่งช่วงนี้ใกล้หน้าหนาวเข้าไปทุกที วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องโรคยอดฮิตที่เกิดในช่วงฤดูหนาว 1.โรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่  เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลัน อาการของโรคไข้หวัด: มีไข้ ปวดศรีษะ น้ำมูกไหล จามโดยมีอาการคันคอเป็นอาการเด่น และอาจจะมี อาการหนาวสั่น อาการของโรคไข้หวัดใหญ่:  รุนแรงกว่า คือ มีไข้สูง ตัวร้อนจัด หนาวสั่น ปวดศรีษะและเวียนศรีษะมาก ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลียมาก ไอแห้ง ตาแดง ตาแฉะ การป้องกันโรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ : พักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง โดยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ดื่มน้ำมาก ๆ ดูแลร่างกายให้อบอุ่น และรับประทานยาตามใช้ยาที่ถูกต้องจากบุคลากรทางแพทย์   2.โรคปอดบวมหรือปอดอักเสบ  เป็นโรคแทรกซ้อนของไข้หวัดหรืออาจเกิดจากการติดเชื้อปอดบวมโดยตรง ติดต่อเข้าสู่ร่างกาย ทางจมูก ปาก และ ตา เชื้อเหล่านี้ปนอยู่ในละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วยที่ไอ จามออกมา […]

อาหารช่วยบำรุงสุขภาพทางเพศ

      ฮอร์โมนเพศชาย หรือ Testosterone ถูกสร้างขึ้นจากลูกอัณฑะ (Testis) ซึ่งจะลดลงตามอายุที่มากขึ้น โดยปกติฮอร์โมนเพศชายจะเริ่มลดลงตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไป และจะลดลงเรื่อยๆ อาจมีความผิดปกติที่ชัดเจนขึ้นเมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงอายุ ประมาณ 52 – 55 ปี จะลดลงจนถึงระดับที่ทำให้เกิดภาวะ วัยทอง  ในบางรายที่ดูแลสุขภาพ ออกกำลังกาย ควบคุมอาหารการกินของตัวเองอย่างสม่ำเสมอก็อาจจะก้าวเข้าสู่ช่วงวัยทองได้ช้ากว่า นอกจากการดูแลภายนอกแล้วยังไม่พอ ควรจะใส่ใจดูแลเข้าไปถึงภายในด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในเรื่องการเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงสุขภาพทางเพศของคุณ  โดยอาหารที่สามารถช่วยบำรุงสุขภาพทางเพศได้ เช่น หอยนางรม : ในหอยนางรมจะมีแร่ธาตุสังกะสีสาหรับการสร้างฮอร์โมน Testosterone และยังเพิ่มระดับโดปามีน (Dopamine) ในร่างกาย ทำให้เพิ่มความต้องการทางเพศได้ แต่ต้องระวังเพราะมี Cholesterol สูง แตงโม : แตงโมมีกรดอะมิโนที่ชื่อว่า Citrulline amino acid ซึ่งส่งผลดีต่อระบบไหลเวียนโลหิตและช่วยคลายเส้นเลือด ทาให้ส่งผลคล้ายไวอะกร้า คือทาให้สมรรถภาพทางเพศเพิ่มขึ้น อัลมอนด์ : Almonds มีแร่ธาตุมากมายที่สาคัญต่อสุขภาพทางเพศ ได้แก่ Zinc, […]

ชายชาตรีรู้ไว้ !! พฤติกรรมทำฮอร์โมนเพศชายลด

  ฮอร์โมนเป็นตัวกำหนดความเป็นหนุ่มสาวในร่างกายของมนุษย์เรา โดยธรรมชาติผู้ชายจะแก่ช้ากว่าผู้หญิง แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้ชายจะไม่มีวันชราภาพ ฮอร์โมนเพศเป็นฮอร์โมนที่มีความสำคัญมากทั้งชายและหญิง โดยเพศชายจะโดดเด่น เพราะมีผลต่อสมรรถภาพ ทำให้ร่างกายดูแข็งแรงบึกบึน มีเหตุมีผล ระดับฮอร์โมนเพศที่สมดุลก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ร่างกายมนุษย์แข็งแรง สุขภาพจิตที่ดีและอายุยืนยาว ดังนั้นคุณผู้ชายที่ต้องการรักษาฮอร์โมนเพศชายให้คงอยู่ไปนาน ๆ ต้องพึงระวังพฤติกรรมเหล่านี้เพราะมันจะส่งผลให้ฮอร์โมนเพศคุณลดลงอย่างรวดเร็ว ได้แก่ —ภาวะโรคอ้วนลงพุง— ไม่ออกกำลังกาย นอนดึก หลับยาก ดื่มแอลกอฮอล์ มีภาวะเครียด หากคุณผู้ชายกำลังมีภาวะข้างต้นเหล่านี้ แนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยด่วน ไม่งั้นจะหาว่าสาวไม่เตือนนะจ้ะ ขอบคุณข้อมูลจากโรงพยาบาลกรุงเทพ

กลยุทธ์ป้องกันผิวเสียความชุ่มชื่น

แต่ละคนมีสภาพผิวที่แตกต่างกัน ประสิทธิภาพสารเคลือบผิวที่มีอยู่ตามธรรมชาติจึงมีไม่เท่ากัน ส่วนมากคนที่มีปัญหาภูมิแพ้ ผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่าย สารเคลือบผิวจะทำงานได้ไม่ดีหรือสร้างมาไม่พอจึงทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้เร็วกว่าคนอื่น ยิ่งถ้ามีปัจจัยภายนอกมากระตุ้น เช่นสภาพอากาศที่เปลี่ยนไป อากาศแห้ง แสงแดด หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีจำพวกสบู่หรือครีมบำรุงที่ใส่น้ำหอมเยอะเกินไป จะเป็นตัวการหลักที่ทำลายสารเคลือบผิวได้ง่ายขึ้นด้วย หากต้องการสังเกตว่าผิวของคุณกำลังสูญเสียความชุ่มชื้นอยู่หรือไม่ สามารถสัมผัสหรือดูด้วยตาเปล่าได้ สัญญาณแรกหากลูบผิวแล้วรู้สึกสากๆ แสดงว่าคุณเข้าข่ายผิวแห้งซึ่งหากปล่อยไว้นานผิวก็จะเริ่มแห้งกร้าน มีอาการคัน เห็นเป็นหนังงู เป็นขุย จนสุดท้ายกลายเป็นผิวแตกลาย สำหรับวิธีป้องกันหากปัญหาผิวเสียความชุ่มชื้น หากเป็นเพราะปัจจัยภายในเรื่องของพันธุกรรมจะแก้ยาก เราจึงต้องแก้ไขจากปัจจัยภายนอกให้มากขึ้น สิ่งแวดล้อมเราไม่สามารถที่จะควบคุมได้แต่เราสามารถเลือกหาวิธีป้องกันได้ดังนี้ -ไม่อยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานานๆ -เลี่ยงการอาบน้ำอุ่น -ควรใช้สบู่อ่อนๆในการทำความสะอาดผิว -ทาครีมบำรุงผิวบ่อย ๆเพื่อให้ผิวชุ่มชื้้นตลอดเวลา ขอบคุณข้อมูลจาก แพทย์หญิงพิรญาณ์ ธำรงธีระกุล แพทย์ผิวหนังและผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย โรงพยาบาลบีเอ็นเอช

จริงหรือ ? กินไข่ทำให้แผลปูด แผลเป็น

จากข้อมูลของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ พบว่ากลุ่มประชาชนตัวอย่างร้อยละ 60 มีความเชื่อว่าการรับประทานไข่ ทำให้แผลปูดและเป็นแผลเป็น โดยเรื่องนี้นายแพทย์ประภาส จิตตาศิรินุวัตร รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรมสบส.) กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ข้อเท็จจริงว่า หัวใจสำคัญของการดูแลบาดแผลทุกชนิดไม่ว่าแผลถลอก แผลเล็ก แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกและแผลผ่าตัด มี 2 ประการคือ 1.การรักษาความสะอาดแผล ป้องกันการติดเชื้อโรค และ2.การบำรุงร่างกายด้วยอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น โดยสารอาหารที่ช่วยให้บาดแผลหายเร็วขึ้นได้แก่ 1.โปรตีน ซึ่งมีอยู่ในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ นม ไข่ รวมถึงถั่วเหลือง ถั่วเมล็ดแห้ง เป็นต้น โปรตีนจะช่วยสร้างเนื้อเยื่อทำให้เซลล์แต่ละเซลล์ ประสานยึดติดเป็นเนื้อเดียวกัน 2. วิตามินซี ซึ่งมีมากในผลไม้สดทุกชนิดพบมากในฝรั่ง มะละกอ ส้มต่างๆ และยังพบในผักเช่นบร็อคโคลี่ พริกหวานสีแดง วิตามินซีจะทำหน้าที่สร้างผนังของเซลล์ ทำให้เส้นเลือดฝอยมีความแข็งแรงและไม่ก่อให้เกิดการอักเสบ และยังช่วยในการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น ทำให้บาดแผลหายเร็วขึ้นและ 3.ธาตุสังกะสี ซึ่งพบมากในเนื้อสัตว์ นม ไข่ ตับ ถั่วเหลือง ช่วยให้เซลล์จับกับวิตามินกระตุ้นให้แผลหายเร็วขึ้น ดังนั้นไข่จึงไม่ใช่อาหารแสลงหรืออาหารต้องห้ามอย่างที่เข้าใจกันแต่อย่างใด ส่วนแผลเป็นที่ปูดโต ไม่ได้เกี่ยวกับการกินไข่แต่อย่างไร แต่เป็นธรรมชาติของเนื้อหนังของแต่ละบุคคลซึ่งมีความแตกต่างกัน โดยกรม สบส.ได้ให้ […]

ทริค 7 วิธีบริหารสมองง่ายๆก็ทำให้ฉลาดขึ้นแล้ว!!

หลายๆคนคงจะสงสัยกันว่าทำไมเราไม่ฉลาดขึ้นเลย แล้วจะมีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้เราฝึกสมองได้มากขึ้น ซึ่งเมื่อเราอายุมากขึ้นสมองเราจะถูกใช้น้อยลงเรื่อยๆ วิธีที่จะทำให้เราฉลาดขึ้นได้นั้นจะมีวิธีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย!! 1. ต้องรู้จักกระตือรือร้น  รู้หรือไม่ว่าการที่คุณเป็นคนที่รู้จักกระตือรือร้นในเรื่องต่างๆจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงานของสมองได้ อาทิเช่น การเป็นคนแอคทีฟ ฝึกพูด อ่าน เขียนอยู่เป็นประจำ รวมไปถึงการใช้ความคิดสร้างสรรค์จะทำให้เราสามารถฝึกทักษะสมองของเราได้เป็นอย่างดี 2. รู้จักผ่อนคลายซะบ้าง การที่เรามีความเครียดมากๆอาจทำให้สมองเราไม่แล่น คิดงานไม่ออก การผ่อนคลายรีแล็กซ์เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น ซึ่งวิธีที่จะทำให้คุณได้ฝึกฝนสมองได้อาจจะใช้วิธีการเล่นเกมฝึกไอคิวความคิดของเราไปด้วย 3. รู้จักเข้าสังคมซะบ้าง การเข้าสังคมนอกซะจากจะได้ปาร์ตี้สังสรรค์แล้วยังเป็นการได้แลกเปลี่ยนความคิดกันอีกด้วย ซึ่งการเข้าสังคมนั้นจากการวิจัยพบว่าช่วยกระตุ้นให้สมองมีความตื่นตัวมากยิ่งขึ้น 4. ค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอ การเปิดโลกทัศน์ให้กับตัวเองเปรียบเสมือนการได้ท่องโลกกว้าง ได้เปิดรับและเรียนรู้อะไรใหม่ๆที่เราไม่เคยทำมาก่อนเพื่อเป็นการฝึกทักษะทางความคิดให้กับสมองของเรา 5. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ จะเห็นได้ว่าการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอจะทำให้เรารู้สึกสดชื่น โดยในแต่ละวันเราควรนอนพักผ่อน 7-8 ชั่วโมงจะทำให้เราพักผ่อนได้เต็มที่ ซึ่งจะทำให้ความจำเราดีขึ้นด้วย 6. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ตามหลักความจริงแล้วเราคงรู้ข้อดีของการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์กัน แต่ข้อดีอีกข้อหนึ่งคือการเลือกรับประทานอาหารสามารถช่วยดูแลสมองของเราได้ และยังทำให้เราความจำดีอีกด้วย 7. ออกกำลังกายสมองอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายถือได้ว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะกระตุ้นสมองให้ทำงานไม่เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ซึ่งวิธีการออกกำลังกายสมองนั้นโดยการฝึกทักษะการใช้มือ เท้าและประสาทสัมผัสทั้ง 5 อยู่เสมอ โดยสิ่งเหล่านี้เองเป็นปัจจัยที่ทำให้เราฉลาดและห่างไกลโรคอัลไซเมอร์ได้เป็นอย่างดี เพียงแค่คุณเลือกที่จะทำสิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นการฝึกทักษะสมองและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงานของสมองของเราได้อีกด้วย รู้อย่างนี้แล้วอย่าลืมไปฝึกทำกันดูนะคะเพื่อนๆทุกคน

กอดกันไว้ลดการเสี่ยงโรคหัวใจ

การกอดไม่ได้เป็นเพียงการแสดงความรัก ความเสน่หาเท่านั้น แต่การกอดยังมีผลต่อสุขภาพและสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคร้ายเช่น โรคหัวใจและภาวะซึมเศร้า เรามาดูกันว่าประโยชน์ของการกอดมีอะไรบ้าง การกอดจากคนที่คุณรักช่วยเพิ่มปริมาณฮีโมโกบิน ซึ่งเป็นส่วนประกอบในเม็ดเลือดแดงในเลือด ทำให้การลำเลียงของออกซิเจนไปยังเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกายดีขึ้น ผลคือ ร่างกายจะกระปรี้กระเปร่าและแข็งแรง ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการกอดเพิ่มระดับฮอร์โมนออกซิทอกซิน(Oxytocin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความรักผูกพัน ส่งผลให้ความดันโลหิตลดลง และลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรค การกอดช่วยให้ร่างกายลดการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ก่อให้เกิดความเครียด ถ้าคุณกอดคนที่คุณรัก สมองจะหลั่งสารโดปามีน (Dopamine) ซึ่งก่อให้เกิดความสุข ความพึงพอใจ ความปิติยินดี ความกระฉับกระเฉง และยังก่อให้เกิดการหลั่งสารแห่งความสุขตัวอื่น ๆ อีกได้แก่ สารเอนโดฟิน (Endorphin) และเซโรโทนิน (Serotonin) นอกจากนี้ สถาบันวิจัยการสัมผัส คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยไมอามี่ สหรัฐอเมริกาพบว่า พลังของการสัมผัสมีผลกระทบต่อกระบวนการบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วยของเด็ก และยังมีผลต่อการรักษาโรคต่าง ๆ เช่น โรคหิด ผิวหนังอักเสบ และความเครียดจากอาการบาดเจ็บต่าง ๆ รวมทั้งสามารถใช้ได้ผลกับเด็กทารกที่ได้รับเชื้อเอชไอวี ทารกคลอดก่อนกำหนดจากแม่ที่ติดยาเสพติด และทารกผิดปกติ โดยจะให้ประโยชน์ด้านจิตใจ และผลที่วัดได้ ทางการแพทย์ การกอดสามารถทำได้ทั้งครอบครัวจะช่วยลดช่องว่างของความห่างเหิน แถมเติมเต็มความรักให้แก่กันการกอดยังช่วยพัฒนา EQ ให้แก่ลูกน้อย […]

10 โรคยอดนิยมของคนทำงานออฟฟิศ

ในปัจจุบันหลายคนต้องเผชิญกับสภาวะความกดดันและความเครียดที่เกิดจากการทำงาน ด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ต้องเกาะติดกับจอคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ รวมทั้งเครื่องมือสื่อสาร ที่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย ทำให้กลายเป็นโรคบ้างาน หรือออฟฟิศซินโดรม ซึ่งเป็นอาการที่พบบ่อยในกลุ่มคนที่ทำงานออฟฟิศ มาสำรวจกันว่าคุณอยู่ในกลุ่มคนที่มีอาการ 10 โรคยอดนิยมของคนทำงานออฟฟิศนี้หรือไม่ หากมีควรรีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและพบแพทย์โดยเร็ว โดย 10 โรคยอดนิยมสำหรับคนทำงานออฟฟิศมีดังนี้   1. โรคเครียด ถือว่าเป็นโรคฮิตสำหรับคนวัยทำงาน เกิดขึ้นได้กับทุกๆช่วงอายุการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นคนที่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่หรือทำงานมาแล้วเป็นเวลานาน ซึ่งวิธีการหลีกเลี่ยงที่ง่ายที่สุดก็คือ พยายามไม่เครียด รู้จักผ่อนคลาย หากิจกรรมที่เรารู้สึกชอบทำ หรือแค่คุณลองละจากงานไปเดินเล่นสัก 10 นาที ก็ถือว่าได้ผ่อนคลายแล้ว   2. ไมเกรน ปวดศีรษะเรื้อรัง คุณเคยรู้สึกไหมว่าเวลานั่งทำงานนานๆ จะรู้สึกปวดหัวบริเวณขมับด้านหน้าศีรษะ หรือหลังต้นคอ นั่นคือสัญญาณเตือนให้คุณรู้ถึงภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคไม่เกรน การพักผ่อนไม่เพียงพอ แสงแดด ความร้อน และการขาดฮอร์โมนบางชนิด ก็เป็นปัจจัยก่อให้เกิดโรคนี้เช่นกัน   3. กรดไหลย้อน สาเหตุเกิดจาก การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา รีบรับประทานจนเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด เครียดจัดจนอาหารไม่ย่อย และคนที่สูบบุหรี่หรือดื่มเหล้าจัด มักเสี่ยงกับการเป็นโรคกรดไหลย้อน นอกจากนี้ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้เป็นระยะเวลากว่า 10 ปี อาจจะนำไปสู่การเกิดมะเร็งหลอดอาหารส่วนปลายได้อีกด้วย […]

กระทรวงมหาดไทย แจ้งทุกจังหวัดจัดงาน “รวมพลังแห่งความภักดี”

วันนี้ (17 พ.ย. 59) นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2559 เห็นชอบให้จัดงาน “รวมพลังแห่งความภักดี” เพื่อประกาศความจงรักภักดี และร่วมน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพปีที่ 89 โดยกำหนดจัดงานในวันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน 2559 เวลา 08.00 น. พร้อมกันทั่วประเทศ โดยมีกิจกรรม ประกอบด้วย 1. กิจกรรมทำความดีเพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 (ทำดีด้วยกาย) 2. กิจกรรมปฏิญาณตนเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์และร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี (ทำดีด้วยวาจา) 3. กิจกรรมอธิษฐานตั้งมั่นทำความดีตามหลักคำสอนของศาสนาที่ตนนับถือ (ทำดีด้วยใจ) โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยแจ้งจังหวัด และอำเภอ จัดกิจกรรมพร้อมกับส่วนกลาง โดยพิจารณาตามความเหมาะสม เพื่อให้การจัดงานดังกล่าวเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการจัดงาน เกิดความสามัคคี ร่วมแรง ร่วมใจ และเกิดการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่จะได้ร่วมกันแสดงออกถึงความจงรักภักดีอย่างพร้อมเพรียงกันกระทรวงมหาดไทย จึงได้แจ้งให้ทุกจังหวัด และทุกอำเภอ ดำเนินการจัดงาน “รวมพลังแห่งความภักดี” โดยประกอบด้วยกิจกรรม […]

รวบรวมวันหยุดปี 2560 มาฝากเพื่อนๆกัน!

ปีเก่ากำลังจะผ่านไป ปีใหม่กำลังจะเข้ามา สำหรับเพื่อนๆคนไหนที่ต้องการวางแพลนในปีหน้าสำหรับวันหยุดพักผ่อนแล้ว เราได้รวบรวมวันหยุดปี พ.ศ.2560 มาฝากเพื่อนๆกัน ปีหน้าใครกำลังวางแพลนไปเที่ยวไหน วางแผนวันหยุดได้ตั้งแต่ปีนี้เลยจ้า วันหยุด เดือนมกราคม 2560 วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม 2560 วันขึ้นปีใหม่ วันจันทร์ที่ 2 มกราคม 2560 วันหยุดชดเชยวันปีใหม่ วันอังคารที่ 3 มกราคม 2560 วันหยุดชดเชยวันปีใหม่ วันหยุด เดือนกุมภาพันธ์ 2560 วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2560  วันมาฆบูชา วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2560  วันหยุดชดเชยวันมาฆบูชา วันหยุด เดือนเมษายน 2560 วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน 2560  วันจักรี วันพฤหัสบดีที่ 13 เมษายน 2560 วันสงกรานต์ วันศุกร์ที่ 14 เมษายน 2560 […]

5 อันดับเป้าหมายในการเดินทางท่องเที่ยว

  สำนักงานสถิติแห่งชาติร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ทำการสำรวจพฤติกรรมการเดินทางท่องเที่ยวของชาวไทย จากประชากรที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปทั่วประเทศจำนวน 63,060 ราย พบว่าวัตถุประสงค์หลักในการเดินทางท่องเที่ยว 5 อันดับแรก ดังนี้ 1.เยี่ยมครอบครัว/ญาติ/เพื่อน ร้อยละ 34.0% 2.ท่องเที่ยวและพักผ่อน ร้อยละ 24.6% 3.ไหว้พระปฏิบัติธรรม ร้อยละ 10.6% 4.ตั้งใจหรือแวะรับประทานอาหาร ร้อยละ 8.2% 5.ซื้อของและช็อปปิ้ง ร้อยละ 8.0%  

3 สาเหตุว่า…ทำไมชาวนาไทยส่วนใหญ่ถึง “จน”

3 สาเหตุว่า…ทำไมชาวนาไทยส่วนใหญ่ถึง “จน” ปัจจุบันมีเกษตรกรทั้งหมดประมาณเกือบ 7 ล้านครัวเรือนประกอบด้วย ชาวนา 3.7 ล้านครัวเรือน ชาวสวนยาง 1.6 ล้านครัวเรือน ชาวนไร่มันสำปะหลัง 0.5 ล้านครัวเรือน ชาวไร่ข้าวโพด 0.4 ล้านครัวเรือน ชาวไร่อ้อย 0.3 ล้านครัวเรือน ชาวสวนปาล์มนำ้มัน 0.1 ล้านครัวเรือน ที่เหลือเป็นชาวสวน คิดเป็นประชากรที่ทำเกษตรกรรมทั้งหมดประมาณ 28 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 43 ของประชากรทั้งประเทศ และการที่ชาวนาส่วนใหญ่ยากจนมาจาก 3 สาเหตุใหญ่ๆ 1.ผลผลิตต่อไร่ต่ำ ประเทศไทยมีที่นาทั้งหมดประมาณ 71 ล้านไร่ เป็นที่นาลุ่มประมาณ 44 ล้านไร่ เป็นที่นาดอน ประมาณ 27 ล้านไร่ ผลิตข้าวได้ทั้งนาปีและนาปรังประมาณ 38 ล้านเกวียน ผลิตข้าวได้เฉลี่ยทั้ง 71 ล้านไร่ เฉลี่ยไร่ละ 450 กิโลกรัม ในขณะที่เวียตนามผลิตข้าวได้เฉลี่ยไร่ละ […]

หลักเกณฑ์ และ วิธีคำนวนเงินบำนาญชราภาพที่จะได้หลังเกษียณ จากประกันสังคม

ประเทศไทยเรียกได้ว่าเป็นประเทศที่มีประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในปี พ.ศ. 2564 เป็นปีที่ไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเป็นทางการ ซึ่งทางรัฐบาลเองก็มีหลากหลายมาตรการส่งเสริมการออม โดยทางสำนักงานประกันสังคมได้เข้ามาให้ความช่วยเหลือผู้สูงอายุในวัยเกษียณโดยจะได้รับสิทธิบำนาญหลังจากเกษียณอายุไว้ใช้ในยามแก่เฒ่า โดยทางประกันสังคมมีหลักเกณฑ์และวิธีคำนวนเงินบำนาญชราภาพที่จะได้ในแต่ละเดือนดังนี้… เพื่อผู้ประกันตนสามารถคำนวณเงินบำนาญชราภาพในเบื้องต้น โดยมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ 1. ต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 180 เดือน หรือ 15 ปี มีสิทธิได้รับเงินบำนาญชราภาพเป็นรายเดือนในอัตราร้อยละ 20 ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่ใช้เป็นมาตราฐานในการคำนวณเงินสมทบก่อนความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง 2. กรณีที่มีการจ่ายเงินสมทบเกิน 180 เดือน ให้ปรับเพิ่มอัตราบำนาญชราภาพตามข้อ 1 ขึ้นอีกในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบทุก 12 เดือน สำหรับระยะเวลาที่จ่ายเงินสมทบเกินกว่า 180 เดือน 3. ค่าจ้างที่ใช้คำนวณเงินสมทบไม่น้อยกว่าเดือนละ 1,650 บาท และไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท 4. สำนักงานประกันสังคมเริ่มจัดเก็บเงินสมทบกรณีชราภาพ วันที่ 31 ธันวาคม 2541 สูตรคำนวณ:           เงินบำนาญรายเดือน   = {[20+(1.5*(t-15))]*w}/100           […]

4 วิธีสร้างความสุขให้ “ผู้สูงอายุ” ได้ง่ายๆ

ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าจำนวนประชากรผู้สูงวัยกำลังมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุมาจากผู้คนมีอายุยืนยาวขึ้นเนื่องจากการพัฒนาทางการแพทย์และการรักษาพยาบาลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และอัตราการเกิดของประชากรลดลงในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยในปัจจุบันครอบครัวใหญ่มักจะมีบุตรครอบครัวละไม่เกิน 2 คนซึ่งแตกต่างจากสมัยก่อนที่ปู่ย่าตายายมีลูกหลานหลายคน จึงทำให้ตอนนี้มีจำนวนประชากรผู้สูงอายุมีมากกว่าจำนวนเด็กแรกเกิดอย่างเห็นได้ชัด การรับมือการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในไทยนั้น จำเป็นที่จะต้องมีการวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ นอกจากนี้ยังต้องมีแนวทางในการเอาใจใส่ดูแลผู้สูงอายุให้มากขึ้นทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ โดยสามารถปฏิบัติได้ดังนี้      1. ด้านร่างกาย ควรหมั่นออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีในยามแก่เฒ่า ซึ่งการออกกำลังกายนั้นควรเลือกประเภทการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตัวเอง ซึ่งการมีสุขภาพที่ดี ไม่เจ็บไม่ป่วย จะเป็นตัวสร้างความสุขให้กับผู้สูงอายุได้ดีเลยทีเดียว นอกจากนนี้ยังควรหมั่นไปตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำ ทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 3 มื้อ และควรนอนหลับให้เพียงพอ 2. ด้านจิตใจ ผู้สูงอายุเองควรทำจิตใจตัวเองให้เบิกบาน สดใส เมื่อเจอกับเรื่องเครียดควรหากิจกรรมเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ไม่ควรหงุดหงิดฉุนเฉียว มิเช่นนั้นจะทำให้สุขภาพจิตใจแย่ลงได้ ทั้งยังส่งผลต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้างอีกด้วย 3. ลูกหลานควรเอาใจใส่ผู้สูงอายุด้วยความรัก เมื่อเรารักใครเราจะสามารถดูแลคนๆนั้นได้เป็นอย่างดี ซึ่งการดูแลผู้สูงอายุก็เช่นกัน ไม่ใช่จะดูแลเพราะเป็นหน้าที่ แต่สิ่งนี้ต้องใช้ความรักในการดูแลด้วย คอยพูดคุยหยอกล้อผู้สูงอายุ คอยดูแลเอาใจใส่ รวมไปถึงการทำกิจกรรมต่างๆร่วมกับผู้สูงอายุเพื่อเป็นการสานสัมพันธ์ที่ดีร่วมกัน 4. มีอารมณ์ขัน จะมัวเครียดไปทำไม การทำตัวเองให้เป็นคนอารมณ์ขันนอกจากตัวเองจะมีความสุขแล้วยังทำให้คนรอบข้างมีความสุขไปด้วย โดยสารแห่งความสุขนั้นจะทำให้เรามีอายุที่ยืนยาวขึ้น โดยผู้สูงอายุอาจสร้างอารมณ์ขันด้วยตัวเอง หรือจะเป็นจากคนรอบข้างที่ช่วยสร้างเรื่องราวต่างๆให้ผู้สูงอายุได้อารมณ์ขันก็ถือเป็นสิ่งที่ดี ดังนั้น จะเห็นได้ว่าวิธีการสร้างความสุขในผู้สูงอายุไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ผู้สูงอายุควรจะทำตัวเองให้มีความสุข รวมไปถึงลูกหลาน หรือคนรอบข้างที่ต้องหันกลับมาสร้างความสุขให้กับผู้สูงอายุ […]

เคล็ดลับการเก็บรักษา หนังสือพิมพ์ ให้อยู่ได้นาน

เนื่องด้วยสำนักพิมพ์ต่างๆมีการจัดพิมพ์หนังสือพิมพ์ฉบับพิเศษ เป็นการรวบรวมภาพและเนื้อหาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชหลังจากที่พระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย โดยในวันต่อมาที่หนังสือพิมพ์ถูกจัดจำหน่ายออกไปนั้นปรากฎว่าเป็นที่ต้องการของประชาชนเป็นอย่างมาก ซึ่งการเก็บหนังสือพิมพ์ไว้เป็นเวลานานนั้นมักก่อให้เกิดการเสื่อมสภาพของกระดาษและสีตามกาลเวลา โดยทาง ดร.ประภาภร ดลกิจ อาจารย์ประจำวิชาเทคโนโลยีทางภาพและเสียง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับการถนอมหนังสือพิมพ์ให้สามารถคงสภาพไว้ได้นานสามารถทำได้ดังนี้… โดยปกติ “หนังสือพิมพ์” เป็นสิ่งพิมพ์ที่เสื่อมคุณภาพเร็ว หากใครอยากเก็บรูปภาพในหนังสือพิมพ์จริงๆ ก็สามารถเก็บได้หลากหลายวิธี ซึ่ง “หนังสือพิมพ์ต้นฉบับ” ตอนนี้มีคุณค่าทางด้านจิตใจของเราชาวไทยทุกคน เพราะมีพระบรมฉายาลักษณ์ของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เราสามารถเก็บรักษาได้ด้วยการนำรูปภาพใน “หนังสือพิมพ์” ที่ต้องการจัดเก็บตัดไปใส่อัลบั้มได้ แต่เชื่อว่าหลายคนอยากจัดเก็บทั้งต้นฉบับ ด้วยความที่ “หนังสือพิมพ์” มีขนาดใหญ่มาก หากหาอัลบัมใส่ไม่ได้ก็สามารถใส่ถุงพลาสติกแล้วเก็บให้พ้นแสงแดดและความชื้น แต่บ้านเราเป็นประเทศที่หนีความชื้นไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นแนะนำว่าหลังจากใส่อัลบัม หรือห่อพลาสติกแล้วให้เก็บใส่กล่อง และใส่ซิลิก้าเจล (สารกันความชื้นลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ ใสๆ ที่อยู่ในถุงขนม) ลงไปด้วยเพื่อช่วยดูดความชื้นจะสามารถป้องกันความชื้นได้ดี แต่ตัวซิลิก้าเจลก็มีวันหมดอายุได้เช่นกัน ควรสังเกตุด้วยว่าถ้ามันเปลี่ยนสีแล้วก็ควรเปลี่ยน ซึ่งหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด ที่สำคัญต้องคอยหมั่นเปิดกล่องนำออกมาตรวจสอบด้วย เพราะนอกจากความชื้นแล้วยังมีมดหรือแมลงสาปลงไปทำรังและอาจกัดแทะ “หนังสือพิมพ์” จนได้รับความเสียหายได้ ถามว่าทำวิธีนี้แล้ว “หนังสือพิมพ์” จะเสื่อมคุณภาพไหม ก็ต้องตอบว่า “เสื่อม” แต่จะวิธีนี้จะช่วยให้พยุงคุณภาพให้อยู่ได้นานกว่าเราปล่อยทิ้งไว้โดยที่ไม่เก็บรักษาเลย แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันทำให้เราสามารถเก็บหนังสือพิมพ์ได้ในรูปแบบ “ไฟล์ดิจิตอล” ที่สามารถนำมาเปิดดูได้หรือนำมาอัดเป็นภาพเก็บไว้ได้อีกวิธีหนึ่งนอกเหนือจากการเก็บแบบ “หนังสือพิมพ์ต้นฉบับ” แต่ถ้าเก็บในรูปแบบ “ไฟล์ดิจิตอล” ก็สามารถเสียได้เช่นกันถ้าเก็บอย่างเดียวโดยไม่นำมาเปิดดูในระยะเวลา 1 ปี […]

มาทำความรู้จักตัวเลขความดันเลือดกันเถอะ !!

กำจัด SMS ขยะ คุมการใช้งานมือถือง่าย ๆ ฟรี ! ทุกเครือข่าย

  สำนักงาน กสทช. ร่วมกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เปิดให้บริการต่างๆผ่านโทรศัพท์มือถือ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งาน -ผู้ใช้งานพบปัญหาการส่ง SMS ขยะหรือการโฆษณาที่ส่งมายังหมายเลขโทรศัพท์มือถือ สามารถกด *137 แล้วโทรออกเพื่อปิดการส่ง SMS ขยะหรือการโฆษณาได้ด้วยตนเอง โดยสามารถใช้บริการได้จากทุกเครือข่ายและไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ -ปิดการใช้งานเน็ตอินเทอร์เน็ตก่อนเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อป้องกันค่าใช้จ่ายจากบริการรับส่งข้อมูลที่อาจจะเกิดขึ้นขณะอยู่ในต่างประเทศซึ่งจะมีค่าบริการแพง โดยสามารถกด *106# แล้วโทรออกเพื่อปิดการใช้งานอินเทอร์เน็ตไว้ชั่วคราวระหว่างเดินทางไปต่างประเทศกรณีที่ไม่ต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ต -ตรวจสอบโปรโมชั่นที่ใช้งานในปัจจุบันสามารถตรวจสอบได้โดยกด *165*1# โทรออก -เช็คยอดการใช้งานโทรศัพท์ด้วยการกด *165*2# โทรออกได้จากทุกเครือข่าย ส่วนการติดต่อผู้ให้บริการแต่ละเครือข่ายนอกจากเบอร์สายด่วน 4 หลักของแต่ละเครือข่ายแล้ว ผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือยังสามารถติดต่อแต่ละเครือข่ายโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ดังนี้ – เครือข่ายเอไอเอสหมายเลข 02 271 9263 – เครือข่ายดีแทคหมายเลข 02 202 7267 โทรฟรีในวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 09.00 – 18.00 น. -เครือข่ายทรูที่หมายเลข 02 900 8088 ระหว่างเวลา 08.00-20.00 น. หากผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือพบปัญหาอื่นๆจากการใช้บริการหรือต้องการร้องเรียนการใช้บริการสามารถติดต่อสายด่วน กสทช. […]

ไม่ได้มอมเมา แค่บอกข้อดีของการ “ดื่มเหล้า”

ข้อดีของการดื่มเหล้า จั่วหัวมาขนาดนี้หลายคนคงคิดว่าแอดมินตั้งใจมอมเมาหรือเปล่า ? อย่างที่ทราบกันว่าการดื่มแอลกอฮอล์นั้นส่งผลเสียต่อร่างกายและสุขภาพถ้าคุณดื่มมากเกินไป แต่อีกด้านหากคุณดื่มแอลกอฮอล์ที่พอเหมาะมันจะกลายเป็นยาชั้นดีที่ช่วยเรื่องสุขภาพคุณได้ด้วย โดยแอดมินได้นำเรื่องราวที่น่าสนใจนี้มาจากนพ.ธาดา เปี่ยมพงศ์สานต์ นายกสมาคมเวชสำอางและศัลยศาสตร์ผิวพรรณ แพทย์กูรูผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง และภูมิแพ้ผิวหนังมากกว่า 40 ปี ซึ่งท่านเขียนบทความเรื่องข้อดีของแอลกอฮอล์ไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้ -การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณไม่มาก จะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เนื่องจากแอลกอฮอล์ไปกดจิตใต้สำนึกที่คอยควบคุมตนเองอยู่ แต่ตรงข้ามหากดื่มในปริมาณมากแอลกอฮอล์จะไปกดสมองบริเวณอื่นๆ ทำให้เสียการทรงตัว พูดไม่ชัด และอาจทำให้หมดสติได้ในที่สุด -ไวน์สามารถฆ่าเชื้ออหิวาต์ได้ในเวลา 15 นาที และฆ่าเชื้อไทฟอยด์ใน 24 ชั่วโมง -การดื่มแอลกอฮอล์วันละ 1 แก้ว (ผสมแล้ว) ลดการเกิดโรคหัวใจอุดตัน 30- 50% ถ้าดื่มมากกว่านั้น กลับเพิ่มการเป็นโรคหัวใจ -คนที่ดื่มไวน์ ลดอัตราเสียงการเป็นโรคหัวใจ เพราะในไวน์มีสารแอนติออกซิแคนท์ และฟลาโวนอยด์ -ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์วันละ 2 – 5 แก้ว/วัน ในผู้ชาย หรือ 2 – 4 แก้วในผู้หญิง จะมีอัตราในการเป็นอัมพฤกษ์น้อยกว่าคนที่ไม่ดื่ม -ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์วันละ 5 แก้วในผู้ชาย […]

5 สมุนไพรไล่ยุงสุดเจ๋ง หาง่ายๆได้ในครัว

ยุง เพชรฆาตตัวร้ายที่หลายๆคนหวาดผวา ยิ่งในช่วงฝนตกแล้วหล่ะก็เรียกได้ว่าเป็นการมาชุมนุมของยุงโดยพร้อมเพรียงกันเลยทีเดียว โดยวิธีการกำจัดยุงก็มีหลากหลายวิธีแตกต่างกันไป อาทิเช่น ยาจุดกันยุง ไม้ช็อตยุง เครื่องดักยุง เป็นต้น แต่ก็มีวิธีง่ายๆที่เพื่อนๆสามารถทำได้โดยโดยการหยิบสมุนไพรในครัวมาใช้ไล่ยุงให้เกิดประโยชน์ จะมีสมุนไพรอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลย 5 สมุนไพรไล่ยุงสุดเจ๋ง 1. สะระแหน่   สะระแหน่ถือได้ว่าเป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นฉุนพอๆกับใบกระเพรา ซึ่งเป็นอีกกลิ่นที่ยุงไม่ชอบ วิธีการคือ ขยี้ใบสะระแหน่แล้วนำไปวางตามมุมมืดหรือมุมอับ เพียงเท่านี้ก็สามารถไล่ยุงได้แล้ว 2. ตะไคร้หอม หลายๆคนรู้ดีว่ากลิ่นตะไคร้หอมสามารถไล่ยุงได้ แต่จะง่ายกว่านั้นถ้าเราหาตะไคร้มาปลูกไว้รอบบ้านนอกจากจะนำมาประกอบอาหารได้แล้วยังสามารถไล่ยุงได้ดีเลยทีเดียว วิธีนี้บ้านไหนที่มีพื้นที่ก็อย่าลืมลองไปทำตามกันนะคะ 3. กระเพรา หนึ่งในสมุนไพรที่เรานำมาเป็นวัตถุดิบทำอาหาร ด้วยกลิ่นที่แสนเย้ายวนชวนจาม ทำให้เจ้ายุงตัวน้อยตัวนิดต่างพากันบินหนี เพียงแค่ขยี้ใบกระเพราให้มีกลิ่นคุ้งออกมา เพียงเท่านี้เจ้ายุงก็บินหนีไปไกลแล้วจ้า ที่สำคัญควรเปลี่ยนใบกระเพราบ่อยๆเนื่องมาจากกลิ่นจะจางไวนิดนึง 4. กระเทียม อย่าว่าแต่ยุงที่ไม่ชอบกลิ่นนี้ หลายๆคนเองก็ไม่ค่อยปลื้มกลิ่นนี้สักเท่าไหร่ โดยวิธีการไล่ยุงและแมลงคือ ทุบกระเทียมให้พอมีน้ำออกมาเล็กน้อย ไม่ต้องทุบจนละเอียด จากนั้นนำกระเทียมใส่ภาชนะเล็กๆแล้วนำไปวางตรงมุมอับหรือมุมมืดที่ยุงอาศัยอยู่ เพียงเท่านี้ยุงร้ายก็โบกมือบ๊ายบายให้เราแล้ว 5. มะกรูด อีกหนึ่งสมุนไพรที่มีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์คงจะไม่พ้นมะกรูด โดยวิธีการกำจัดยุงก็ง่ายนิดเดียวเพียงแค่หั่นผิวมะกรูดเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปวางในจุดที่คิดว่ายุงอาศัยอยู่ เมื่อเจ้ายุงได้กลิ่นนี้เชื่อได้ว่ารีบบินหนีอย่างไวแน่นอน

Tsukuji Wonderland อัศจรรย์ตลาดปลาสึคิจิ

อยากจะแนะนำถ้าใครมีเวลาในช่วงนี้ต้องลองไปดูภาพยนตร์เรื่อง Tsukuji Wonderland จริงๆ อาจจะไม่ใช่เป็นภาพยนตร์แท้จริง น่าจะเรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์สารคดีก็ว่าได้ สำหรับ Tsukuji Wonderland เป็นภาพยนตร์ที่ฉายเฉพาะที่ SF เท่านั้น เป็นภาพยนตร์นอกสายตา ไม่มีฉากตื่นเต้นประการใด แต่เรียกได้ว่าตลอดระยะ 115 นาที คุณจะได้ความรู้มากมายเกี่ยวกับอุตสาหกรรมตลาดปลา ที่ใหญ่ที่สุดของโลก ตลาดปลาสึคิจิ ถือว่าเป็นตลาดที่คนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นต้องคุ้นเคย เป็นตลาดที่ส่งออกไปยังที่อื่นๆ มากกว่า 2 หมื่นตันต่อวัน สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้คุณจะได้รู้จักตั้งแต่กลางน้ำไปถึงปลายน้ำของตลาดปลา การประมูลปลาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของโลก สิ่งหนึ่งที่ทาง Tsukuji Wonderland พยายามเน้นย้ำกับทุกคนที่ดูก็คือ ในตลาดแหล่งนี้ไม่ใช่มีแค่ “ปลาชนิดต่างๆ” เท่านั้น แต่ภายในตลาดแหล่งนี้ที่เปิดมากว่า 100 ปี ยังมี “Data” หรือ “Information” ที่อยู่ในนั้น ซึ่งเป็นการถ่ายทอดความรู้เรื่องปลาจากรุ่นสู่รุ่น ไม่เพียงเท่านี้คุณยังได้รู้จักฤดูกาลต่างๆ ของปลา ในช่วงฤดูไหนต้องเลือกทานปลาแบบไหน ถึงอร่อยและได้คุณค่าอีกด้วย ทางด้านสถิติต่างๆ ก็ต้องยอมรับว่าญี่ปุ่นเขาได้เก็บสถิติที่น่าสนใจไว้หลายอย่าง อันนี้ถือว่าเล็กๆ น้อยนะครับ ก็คือ 30% ของเด็กยุคใหม่ของญี่ปุ่น ไม่สามารถแยกแยะ […]

5 วิธี บรรเทา อาการปวดตา ให้หายเป็นปลิดทิ้ง

อาการปวดตา 1 ในอาการยอดฮิตในยุคสมัยนี้ที่ผู้คนต่างพากันจ้องคอม จ้องมือถือกันทั้งวัน ยิ่งเล่นเป็นเวลานานยิ่งทำให้ปวดตามากเท่านั้น ยิ่งบางคนชอบเล่นมือถือ หรือคอมพิวเตอร์ตอนปิดไฟ เพื่อนๆรู้หรือไม่ว่าการทำพฤติกรรมเหล่านั้นส่งผลเสียต่อดวงตาเป็นอย่างมาก  นอกจากอาการปวดตาที่รู้สึกได้แล้วอาจมีอาการปวดหัวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งถ้าเพื่อนๆใช้ดวงตาเป็นเวลานานอาจก่อให้เกิดผลเสียอื่นๆตามมา วิธีแก่อาการปวดตานั้นสามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้ พักสายตา วิธีการคือให้พักสายตาทุก 20 นาที โดยอาจมองไปนอกหน้าต่าง มองธรรมชาติประมาณ 20 นาที จะทำให้ดวงตาคุณผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น 2. กรอกตาไปมา วิธีนี้จะช่วยลดอาการปวดตาได้ดีเลยทีเดียว โดยวิธีกรอกตาควรกรอกจากซ้ายไปขวา จากบนลงล่าง ทำประมาณ 5-10 ที อาการปวดตาจะค่อยๆหายไป 3. นวดตาเพื่อบรรเทา วิธีนี้เป็นวิธีที่สามารถทำได้ง่ายๆ คือ เราต้องหลับตาและใช้นิ้วชี้นวดไปที่บริเวณรอบดวงตาเบาๆ ประมาณ 5-10 นาที จะช่วยผ่อนคลายอาการเมื่อยล้าดวงตาของเราได้ 4. นอนหลับสักพัก วิธีที่แก้ได้ดีที่สุดคือการนอนหลับพักสายตา จะช่วยทำให้ดวงตาที่เหนื่อยล้าได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ อาจใช้เวลา 15-30 นาทีก็จะช่วยให้ดวงตาของคุณหายจากอาการปวด 5. หยดน้ำตาเทียม  สำหรับใครที่จ้องหน้าจอคอมหรือสมาร์ทโฟนนานๆอาจทำให้เกิดอาการตาแห้ง จนอาจทำให้เพื่อนๆรู้สึกปวดตาขึ้นมาได้ วิธีการแก้คือ หาน้ำตาเทียมติดกระเป๋าไว้ หากเมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าตาของเราแห้งก็นำมาหยอดเพื่อคงความชุ่มชื้นของดวงตาเอาไว้นั่นเอง  

ดื่มน้ำมากเกินไปเสี่ยง สมองบวม อันตรายถึงชีวิต!!

โดยปกติแล้วคนเราจำเป็นที่จะต้องดื่มน้ำวันละ 1.5-2.5 ลิตร แต่ไม่ใช่ว่าวันนึงคุณต้องดื่มน้ำเข้าไป 2.5 ลิตร ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่มากเกินไป โดยในอาหาร ผัก ผลไม้ที่เราทานไปก็มีน้ำเป็นส่วนประกอบเราจึงไม่จำเป็นที่จะต้องดื่มน้ำเข้าไปถึง 2.5 ลิตร ซึ่งการดื่มน้ำเข้าไปในปริมาณที่มากเกินไปนั้นไม่ได้ให้ผลดี แต่ผลลัพธ์นั้นกับตรงกันข้ามซึ่งก่อให้เกิดอาการ น้ำเป็นพิษ ที่เกิดจากระดับโซเดียมในเลือดเจือจางลงจนสมองบวมจนเกิดเป็นอาการน้ำเป็นพิษ  ซึ่งอาการของน้ำเป็นพิษนั้นจะทำให้เราปวดหัว อาเจียน คลื่นไส้ หรืออาจจะมีอาการชักจนหมดสติไปเลย ซึ่งถือว่าเป็นอาการที่น่ากลัวเลยทีเดียว โดยทั้งนี้เราต้องดูกิจวัตรประจำวันของตัวเองว่าต้องสูญเสียน้ำไปมากเท่าไหร่ แล้วจึงดื่มน้ำเพื่อชดเชยน้ำที่เสียไป แต่ก็ไม่ควรดื่มมากเกินไป และไม่ควรรอจนรู้สึกว่ากระหายน้ำแล้วค่อยดื่ม เพราะนั่นถือว่าเป็นสัญญาณเตือนของอาการขาดน้ำ โดยวิธีการเช็คว่าเราดื่มน้ำเพียงพอต่อวันแล้วหรือไม่ เช็คได้จากความถี่ในการปัสสวะ สีของปัสสวะ ดูอาหารที่กินในแต่ละวันว่ามีส่วนประกอบของน้ำหรือไม่ ถ้าร่างกายไม่แสดงอาการกระหายน้ำ แสดงว่าเราดื่มน้ำเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว

วีธีสวมใส่เสื้อชูชีพอย่างไรให้ปลอดภัย 100%

เสื้อชูชีพ ถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญอย่างมากในการเดินทางโดยสารทางเรือหรือการเล่นกีฬาทางน้ำ ถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตทางน้ำที่มีประสิทธิภาพ แต่หลายคนยังขาดความรู้ ความเข้าใจ รวมไปถึงเกิดความประมาทในการสวมเสื้อชูชีพ จะเห็นได้จากผู้โดยสารทางเรือส่วนมากมักจะไม่ใส่เสื้อชูชีพขณะอยู่บนเรือ โดยปกติภายในชูชีพจะบรรจุด้วยโฟมสังเคราะห์พิเศษ ซึ่งจะมีคุณสมบัติทำให้ผู้ที่สวมใส่สามารถลอยตัวในน้ำได้ และยังสามารถทนแรงกระแทกได้ดีเยื่ยม โดยหลายๆคนตั้งข้อสงสัยว่า เสื้อชูชีพต้องใส่เมื่อใด คำตอบคือ ควรสวมเสื้อชูชีพในกรณีที่ต้องนั่งเรือไปยังลำน้ำหรือทะเล รวมไปถึงการทำกิจกรรมกีฬาทางน้ำก็ควรใส่เสื้อชูชีพอยู่ตลอดเวลา หลักการเลือกเสื้อชูชีพ มีดังนี้ ควรเลือกเสื้อชูชีพที่มีลักษณะเหมือนแจ็คเก็ต เพื่ออำนวยความสะดวกในการใส่ สามารถใส่ได้ง่ายและเร็ว และยังทำให้ผู้ที่สวมใส่สามารถเคลื่อนไหวได้กระฉับกระเฉงอีกด้วย สีของเสื้อชูชีพควรเป็นสีสะท้อนแสงสามารถมองเห็นได้ง่าย ควรมีสายรัดอก สายรัดเอว และสายรัดระหว่างหว่างขา ที่สามารถปรับเลื่อนความยาวได้เพื่อให้กระชับกับร่างกายผู้สวมใส่ ไม่หลุดขณะลอยอยู่เหนือน้ำ และควรมีนกหวีดเพื่อเป่าเรียกขอความช่วยเหลือในกรณีเกิดอุบัติเหตุ ไม่ควรมีรอยปริขาดของเนื้อผ้า และควรตรวจสอบตัวล็อคเข็มขัดให้ดีก่อนซื้อว่าสามารถใช้การได้หรือไม่ วิธีสวมเสื้อชูชีพอย่างถูกวิธี สวมเสื้อชูชีพให้ด้านเข็มขัดมาอยู่ด้านหน้าลำตัว เลื่อนปรับระดับสายเข็มขัดให้พอดีตัว โดยจะมีสายรัดอก รัดเอว และสายรัดระหว่างขา โดยการปรับระดับสายนั้นไม่ควรแน่นเกินไปหรือหลวมจนเกินไป ทดลองเป่านกหวีดที่ติดมากับเสื้อชูชีพก่อนลงน้ำเพื่อทดสอบการใช้งาน

5 อาหารธรรมชาติกระชากวัย

เป็นเรื่องธรรมดาที่ร่างกายของคนเราจะต้องร่วงโรยไปตามกาลเวลา จากวัยแรกเกิดสู่วัยเด็ก ไปสู่วัยผู้ใหญ่ จนถึงวัยชรา อวัยวะต่าง ๆ ก็จะมีความเสื่อมโทรมซึ่งเป็นสิ่งทีเราทุกคนไม่อาจปฏิเสธได้ แต่สำหรับใครที่อยากจะชะลอความแก่ กระชากวัยให้กับตัวเอง การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์สามารถช่วยชะลอวัยให้เรามีใบหน้าที่เปล่งปลั่งสดใสได้ อาหารจากธรรมชาติเหล่านั้นจะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย!! ถั่วและธัญพืช ถั่วจะมีสารโปรตีนและวิตามินอี รวมถึงกรดโฟลิกช่วยในเรื่องการชะลอผมให้ขาวช้าลง ช่วยลดการมีผมหงอกก่อนวัยอันควร นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างความจำให้ดีขึ้น ไม่เสื่อมง่าย ๆ สำหรับธัญพืชนั้นมีสารประกอบเป็นวิตามินบี 2 ช่วยลดความมันบนผิวได้เป็นอย่างดี กล้วย อาหารจากธรรมชาติอีกชนิดหนึ่งที่เราคงคุ้นเคยกันดี กับกล้วย ที่มีสารธรรมชาติของโพแทสเซียมและวิตามินบี 6 ช่วยในเรื่องการบำรุงสายตาและการมองเห็น ช่วยรักษาเส้นผมให้แข็งแรงไม่หลุดร่วงง่าย ช่วยคลายความเครียดซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แก่เร็วได้ ฝรั่ง ใครที่ชอบรับประทานผลไม้อย่าง ฝรั่ง หรือดื่มน้ำฝรั่งแล้ว ทราบกันไหมคะว่า ในฝรั่งนี่แหละ อุดมไปด้วยวิตามินซีที่สูงมาก ปริมาณ 377 มิลลิกรัมเลยทีเดียว วิตามินซีจะช่วยรักษาคอลลาเจนให้นานยิ่งขึ้น อีกทั้งยังประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติช่วยชะลอวัยและริ้วรอยต่าง ๆ ช่วยเสริมระบบภูมิต้านทานให้กับร่างกาย เสริมสุขภาพให้แข็งแรงอีกด้วย มะม่วง ผลไม้อย่างมะม่วงที่มีรสหลายรส ชนิดทั้งมันอมเปรี้ยว หรือเปรี้ยวนี่แหละค่ะ สรรพคุณมีมากมายเลยทีเดียว ทั้งมีวิตามินเอ วิตามินซี มีไฟเบอร์ที่ช่วยบำรุงสมอง บำรุงสายตา ป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้ มีเบต้าแคโรทีนในปริมาณสูงที่จะช่วยต้านอนุมูลอิสระ […]

สำรวจอาการเบื้องต้นของชายวัย 50 Up รู้ไว้ก่อนเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก!!

สำรวจอาการเบื้องต้นก่อนสาย มะเร็งต่อมลูกหมากเป็นมะเร็งที่พบได้เป็นอันดับ 4 ของชายไทย แม้จะพบได้ไม่บ่อยมากแต่อุบัติการณ์เพิ่มขึ้นทุกๆ ปี โดยเฉพาะชายไทยที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก  สาเหตุของการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีความเป็นไปได้ว่า เกิดจากปัจจัยเสี่ยงหลักๆ ได้แก่ อายุของผู้ป่วย การถ่ายทอดทางพันธุ์กรรม การใช้ชีวิตประจำวัน เช่น รับประทานจำพวกเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนแอนโดรเจน ก็มีส่วนกระตุ้นให้เกิดการเจริญเติบโตของมะเร็งต่อมลูกหมากได้ และถือเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็งต่อมลูกหมากกันมากขึ้น สำหรับอาการของโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ในระยะแรกเริ่มมักไม่แสดงอาการ จึงทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ละเลยคิดว่าเป็นอาการที่เกิดขึ้นธรรมดาของคนสูงอายุ ดังนั้นผู้ชายที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปี ขึ้นไป ควรใส่ใจสุขภาพและควรรับการตรวจเช็คต่อมลูกหมากจากแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะอย่างน้อยปีละครั้ง เพราะหากตรวจพบมะเร็งต่อมลูกหมากในระยะแรกๆ ยังสามารถรักษาให้หายได้ อาการผิดปกติแรกเริ่มของโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก -มีอาการคล้ายกระเพาะปัสสาวะอักเสบหรือต่อมลูกหมากโต -ปัสสาวะไม่คล่อง -ปัสสาวะบ่อย กลั้นปัสสาวะไม่ได้ – รู้สึกเจ็บขณะปัสสาวะ มีเลือดหรือหนองปนออกมากับปัสสาวะ -ปวดบริเวณหลังส่วนล่างหรือต้นขา หากพบอาการข้างต้นควรไปพบแพทย์เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยและรับรักษาตั้งแต่ในระยะเริ่มแรก  โดยเฉพาะการตรวจสุขภาพประจำปี เป็นสิ่งจำเป็นมากต่อการรักษา ยิ่งพบโรคมะเร็งและทำการรักษาได้เร็วมากเท่าไร จะยิ่งทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวมากขึ้น หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพตั้งแต่วันนี้ และพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อการรักษา และขจัดความเสี่ยง ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด และคุณผู้ชายไม่ควรมองข้ามกันอีกต่อไป.. ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือไขข้อสงสัยเกี่ยวกับมะเร็งต่อมลูกหมากได้ที่ www.มะเร็งต่อมลูกหมาก.com

6 วิธี ตื่นเช้าอย่างไรให้ “สดใส”

6 วิธี ตื่นเช้าอย่างไรให้ “สดใส” เคยเป็นกันไหม ?? ตื่นนอนตอนเช้าแต่ยังรู้สึกนอนไม่เต็มอิ่ม งัวเงีย ไม่อยากลุกจากที่นอน ถ้าเพื่อนๆประสบปัญหานี้อยู่ ลองมาฟังคำแนะนำดีๆที่ทางแอทมินจะมาบอกกันค่ะ พร้อมจะกระปรี้กระเปร่าในยามเช้ากันรึยัง ถ้าพร้อมแล้วไปดูวิธีกันเลย !!!!   วิธีที่ 1   ควรดื่มน้ำอุ่น 1 แก้วหลังจากตื่นนอน  การดื่มน้ำจะช่วยปลุกระบบย่อยอาหารของร่างกายให้ทำงานเต็มที่ จะทำให้ร่างกายขับของเสียออกมา ทำให้รู้สึกโล่งสบายในยามเช้าเลยทีเดียว วิธีที่ 2   ออกกำลังกายเบาๆ ในช่วงเช้า ซึ่งเวลาการออกกำลังกายที่ดีที่สุด คือในช่วง 7 โมงเช้า  ควรใช้เวลาการออกกำลังกายอย่างน้อย 15- 20 นาที  อาทิเช่น การวิ่ง การเดิน หรือจะเป็นการเล่นโยคะ ซึ่งการออกกำลังกายจะเป็นการนำเอาออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ ผลที่ได้คือ ร่างกายของเราจะกระฉับกระเฉงจนไม่ต้องง้อกาแฟในตอนเช้าเลยทีเดียว วิธีที่ 3   การแปรงฟัน การแปรงฟันจะทำให้เพื่อนๆมีรอยยิ้มที่มั่นใจ และถ้าหากเพื่อนๆแปรงลิ้นด้วยแล้วหล่ะก็ ยังส่งผลให้สุขภาพในช่องปากของเราดียิ่งขึ้นอีกด้วย หมดปัญหาเรื่องกลิ่นปากที่จะมาทำให้เพื่อนๆหมดความมั่นใจ วิธีที่ 4   ขัดตัวเบาๆในยามเช้า […]

บ๊ายบายอาการนอนไม่หลับด้วย 10 เคล็ดลับ

สำหรับใครหลายๆคนคงจะประสบปัญหากับอาการนอนไม่หลับตกดึกทีไรตาก็สว่างทุกที ลองหลับตานับแกะก็แล้วแต่ยังไงก็ไม่มีท่าทีว่าจะนอนหลับ โดยอาการนอนไม่หลับนั้นอาจจะเกิดจากความเครียด หรือเป็นคนหลับยากอยู่แล้ว อาจจะมีบางคนที่นอนหลับๆตื่นๆ และยังมีอีกหลายๆปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ โดยผลเสียที่ตามมาของการนอนไม่หลับนั้นจะทำให้ร่างกายเราอ่อนเพลียจากการพักผ่อนไม่พอ สมองไม่ปลอดโปร่ง อารมณ์หงุดหงิดง่าย หรืออาจเกิดการง่วงซึมในระหว่างเรียนหรือทำงานได้อีกด้วย โดยวิธีแก้อาการนอนไม่หลับนั้นสามารถทำได้หลายวิธี จะมีวิธีอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลย!!! อย่านอนผิดเวลาจนเคยชิน อย่านอนเพราะถึงเวลานอน แต่ให้ดูจากอาการที่ร่างกายบอกเรา อาทิเช่น การหาว หรือหนังตาหย่อน แต่ถ้าคุณฝืนเลยช่วงเวลานี้ไปแล้วหล่ะก็ กว่าจะหลับอีกทีอาจต้องรอไปอีกหลายชั่วโมงเลยทีเดียว งดเครื่องดื่มที่มีสารกระตุ้นต่างๆ อาทิเช่น เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน กาแฟ ชา รวมไปถึงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เหล้า เบียร์ เป็นต้น ควรปรับอุณภูมิเครื่องปรับอากาศให้มีอุณหภูมิ 20 – 25 องศา ถือว่าเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสมในตอนนอน พยายามผ่อนคลาย อย่าคิดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในวันรุ่งขึ้น เช่น การนัดหมายเวลา การประชุม หรือแนวข้อสอบที่จะออก เรื่องเหล่านี้จะทำให้คุณรู้สึกกังวลจนนอนไม่หลับ หยุดทำกิจกรรมต่างๆ ก่อนนอน 3 ชั่วโมง อาทิเช่น การเล่นสมาร์ทโฟน การอ่านหนังสือ การรับประทานอาหาร จะทำให้คุณหลับได้ง่ายขึ้น การหาวบ่อยๆจะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย และทำให้ง่วงนอนเร็วขึ้น การอาบน้ำอุ่นก่อนนอนจะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายก่อนนอน ไม่ควรดื่มน้ำก่อนนอนมากจนเกินไป […]

New 7 สิ่งใหม่ ใน Iphone 7

New 7 สิ่งใหม่ ใน Iphone 7 1.New Design สีใหม่ Black & Jet Black ย้ายแถบสัญญาณไปรวมกับแถบด้านบนล่างของตัวเครื่อง ปุ่ม Home 3D Touch 2.New Camera 12 MP กันสั่น OIS , True Tone LED Flash , ในรุ่น Plus กล้องหลังคู่เลนส์ Wide มุมกว้าง & Tele ช่วยถ่ายหน้าชัดหลังเบลอ คุณสมบัติ ISP ช่วยเพิ่มคุณภาพของรูปภาพ พร้อมกล้องหน้า 7 MP 3.กันน้ำกันฝุ่น มาตรฐาน IP67 คือ สามารถป้องกันฝุ่นได้ 100% สามารถกันน้ำได้ 30 นาที เมื่ออยู่ในน้ำระดับไม่เกิน 1 […]

แนะวิธีสังเกตความแข็งแรงอาคารด้วยตาเปล่า เฝ้าระวังก่อนอาคารพังถล่ม!

สืบเนื่องจากเหตุการณ์ระเบียงอาคารพาณิชย์เก่าบริเวณตลาดประชานิเวศน์ 1 พังถล่มสร้างความเสียหายแก่ผู้คน รวมทั้งรถยนต์ที่จอดอยู่ในบริเวณดังกล่าว ซึ่งอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างทั่วไปคนมักเข้าใจว่าเป็นอาคารสิ่งปลูกสร้างถาวรที่อยู่ได้นาน แต่ความจริงแล้วหากอาคารเหล่านี้ไม่ได้รับการดูแลรักษาหรือใช้งานผิดวัตถุประสงค์ก็อาจพังลงมาได้ ด้วยเหตุนี้ทาง รศ. ดร.สุทัศน์ ลีลาทวีวัฒน์ นักวิจัยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สังกัดภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จึงแนะนำวิธีการตรวจสอบอาคารเก่าด้วยตาเปล่า เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เกิดอาคารพังถล่มไว้ดังนี้ -คอนกรีตแตกร้าว เหล็กโผล่หรือไม่ -บริเวณที่มีน้ำซึม หรือสัมผัสกับน้ำเป็นเวลานานจนเหล็กขึ้นสนิม -เหล็กเป็นสนมจนดันคอนกรีตแตกออก -มีรอยแตกร้าวในส่วนโครงสร้าง -คอนกรีตเสื่อมแตกยุ่ย หรือมีสภาพเปลี่ยนไปมาก -อาคารมีการทรุดเอียงเสี่ยงต่อการพังถล่ม -เสา พื้นยื่น และคานรับน้ำหนักมาก อาการเหล่านี้สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ หากพบเห็นสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น ควรรีบให้วิศวกรมาตรวจสอบ หรือแจ้งผู้ทีหน้าที่เกี่ยวข้องมาดูแลแก้ไข

วิธีมีความสุขในวันที่ไม่สบาย

วิธีมีความสุขในวันที่ไม่สบาย 1.ทำสมาธิ ในทงการแพทย์การทำสมาธิช่วยลดความเครียดและความกังวล ในขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและทำให้สุขภาพดีอีกด้วย 2.หัวเราะ โอเคถ้าคุณไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะหัวเราะได้ ลองทำบางสิ่งที่จะทำให้คุณอารมณ์ดี เช่นดูรายการตลก ซีรี่ส์ หรืออ่านหนังสือ การหัวเราะจะทำให้คุณลดความเครียดและเพิ่มประสิทธิ์ภาพของเซลล์ภูมิคุ้มกัน 3.คุยกับเพื่อนหรือคนที่คุณรัก หาเวลาว่างๆลองคุยกับใครซักคน สนทนากับเพื่อนครอบครัวจะช่วยเพิ่มระดับ ฮอโมนส์ อ๊อกซิโตซิน ซึ่งช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้น 4.ทำสิ่งที่คุณชอบ ฟังเพลง เล่นเกม ทำงานอดิเรกต่างๆ อะไรก็ตามที่ทำให้คุณรู้สึกมีความสุขที่ได้ทำมันโดยไม่ต้องคิดอะไร 5.ออกกำลังกายเบาๆ ออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นร่างกายเบาๆ เพื่อบรรเทาอาการบางอย่าง ยืดเส้นยืดสายเล็กๆน้อยๆ แต่ควรระวังไม่ควรให้หนักเกินไปนัก ฟังร่างกายของคุณดีๆ หากคุณรู้สึกแย่ให้หยุด ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.wikihow.com/Enjoy-a-Sick-Day

8 สัญญาณที่บอกว่าคุณไม่ได้เหงาแม้จะอยู่คนเดียว

8 สัญญาณที่บอกว่าคุณไม่ได้เหงาแม้จะอยู่คนเดียว 1.คุณไม่รู้สึกกลัวเมื่อเป็นตัวของตัวเอง 2.คุณรู้วิธีที่จะรักตัวเอง 3.คุณเรียนรู้ว่าการอยู่คนเดียวเป็นสิ่งสำคัญ 4.คุณมีสิ่งที่คุณรักอย่างแท้จริง 5.คุณเป็นนักผจญภัยที่กล้าหาญ 6.คุณให้ความสำคัญกับอิสระ 7.คุณมีความแน่วแน่ในการพัฒนาตัวเอง 8.คุณไม่โกหกตัวเอง ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.lifehack.org/412511/8-signs-youre-not-lonely-even-being-alone

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณเลิกสูบบุหรี่ ได้ 20 นาที !!!

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณเลิกสูบบุหรี่ได้ 20 นาที !!! คนส่วนใหญ่หลายๆ รวมถึงคุณคนมักที่จะชอบสูบบุหรี่เป็นประจำ ซึ่งก็รู้อยู่แล้วว่าถ้าสูบบุหรี่มากๆจะก่อให้เกิดโรคต่างๆไม่ว่าจะเป็นโรงมะเร็งปอด โรคหัวใจ โรคหลอดลบอักเสบเรื่อรัง และอีกมากมายต่างๆนับไม่ถ้วนเลย  บางคนทีก็ยากเลิกวันนี้เราเลยจะมาบอกว่า ให้คุณลองเลิกสูบบุหรี่เพียงเป็นเวลาระยะสั้นๆ โดยจะเลิกเพียงแค่ 20 นาทีพอ เราจะมาดูกันว่า ประโยชน์ของการเลิกสูบบุหรี่เพียงแค่ 20 จะเป็นอย่างไร? 20 นาที  หัวใจของคุณจะกลับมาทำงานเป็นปกติ  หลอดเลือดและเส้นเลือดฝอดจะกลับมาเป็นปกติช่วยให้เลือดภายในร่ายกายไหลเวียนได้ดีขึ้น รวมถึงเท้าและนิ้วมือคุณก็จะกลับมามีความรู้สึกว่องไวมากขึ้น 12 ชั่วโมง  จำนวนคาร์บอนมอนอกไซด์ที่อยู่ในเลือดจะลดต่ำลงและทำให้มีจำนวนออกซิเจนที่เพิ่มมากขึ้นเข้ามาแทน จึงทำให้ระบบหมุนเวียนในเลือดกลับมาสู่สภาวะปกติ 2 สัปดาห์  ความเสี่ยงที่จะเกิดเป็นโรคหัวใจก็จะลดลง รวมถึงอาการอยากสูบบุหรี่ก็จะลดลงอีกด้วย และยังช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้นและสุดท้ายปอดก็จะกลับมาทำงานได้ดีมากขึ้น 1 เดือน  อาการไอ คัดจมูก หรือ หายใจไม่สะดวก ที่มีสาเหตุจากการสูบบุหรี่ จะค่อยๆลดลง แต่ยังไม่หมด เพราะปอดยังคงต้องใช้เวลาในการกำจัดสารพิษที่สะสมจากการสูบบุหรี่ออกไปให้หมด 1 ปี อาการอยากสูบบุหรี่จะหายไป ผิวพรรณจะดีขึ้น และความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจขาดเลือดจะลดลง ทุกอย่างในร่ายกายจะกลับอยู่ในสภาพปกติเหมือนคนไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อน เห็นแล้วไหมว่าแค่เลิกก็ทำให้ร่ายกายฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้ดีมากขึ้นเลยนะ เพียงเราเริ่มจากง่ายๆก่อนคือ 20 นาทีไปก่อนแล้วก็ค่อยๆทำไปเรื่อยๆเราก็จะสามารถเลิกได้เป็นระยะเวลานานมาขึ้น ถ้าเราทำไปเรื่อยๆการอยากบุหรี่ก็จะหายไปแล้วก็สามารถบุหรี่ได้อย่างถาวรได้แล้ว เห็นไหมหละ […]

5 สูตรความคิดบวก

5 สูตรความคิดบวก ภาพยนต์หลายๆเรื่องสร้างถึงสิ่งนี้ หนังสือเขียนถึงสิ่งนี้ วิทยาศาสตร์ศึกษาค้นคว้าถึงสิ่งนี้ หลายๆประเทศอุทิศเพื่อสิ่งเหล่านี้ เราไม่ได้หมายถึงเงินทอง เรากำลังพูดถึงความสุข 1.ให้ความสำคัญกับความรู้สึกด้านบวก พูดคุยกับเพื่อน แฟน คนรู้จัก ถึงเรื่องต่างๆที่รู้สึกดี ไม่ว่าจะเรื่องใดๆ ตราบใดที่เป็นเรื่องราวด้านบวก สร้างอายคอนแทค รอยยิ้ม ถามคำถามปลายเปิด รับฟังพวกเขาด้วยความตั้งใจ 2.เรียนรู้การมีน้ำใจ เมื่อคุณได้รับสิ่งดีๆใดๆ หลังจากนั้นลองเขียนสิ่งเหล่านั้นลงบนโน๊ตไว้ เริ่มแรกประมาณ 5 สิ่งต่อวันเป็นอย่างน้อย หลังจากนั้นเมื่อคุณกลับมาดูอีกครั้ง ลองกลับบทบาทมาเป็นผู้ให้บ้างใน 5 สิ่งที่คุณได้รับมานั้นและขีดออก คุณอาจจะทำสิ่งเหล่านี้ซ้ำในวันถัดๆไปหรือเพิ่มสิ่งใหม่ๆเข้ามา การเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณมีควมสุขเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน 3.เรียนรู้ที่จะให้อภัย เราทุกคนต่างมีเรื่องเจ็บปวด เราต่างวนเวียนอยู่กับมัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว การอโหสิให้เหตุการแย่ๆที่มันผ่านพ้นไปถึงแม้จะไม่ได้ทำให้ลืมมันไป แต่ทำให้คุณปลดล๊อคตัวเองออกจากเรื่องราวที่ผ่านมาแล้วและเริ่มต้นกับสิ่งใหม่ 4.เรียนรู้การมองในแง่ดี ลองจินตนาการถึงเรื่องราวที่ดีในอนาคต อาชีพ ความสัมพันธ์ งานอดิเรก สุขภาพ อะไรก็ตามที่คุณต้องการที่เป็นด้านบวก แล้วลองเขียนมันลงไปในสิ่งที่คุณต้องการ และหาหนทางทำมันให้ได้ เราไม่ได้บอกให้คุณเพ้อฝัน แต่เราบอกให้คุณมีเป้าหมาย และมองโลกในแง่ดี เพื่อเป็นแรงกระตุ้นสู่เป้าหมายของคุณ 5.ดื่มด่ำรสชาติของความสุขชั่วขณะ ชมแสงอาทิตย์ เล่นกับเจ้าตูบ มีความสุขกับรสชาติของอาหาร ความสุขนั้นมีมากมายอยู่รอบๆตัวให้คุณได้เก็บเกี่ยว […]

10 เหตุผลที่คุณต้องอ่านหนังสือ

 10 เหตุผลที่คุณต้องอ่านหนังสือ 1.สร้างแรงกระตุ้น 2.ลดความเครียด 3.เพื่อการเรียนรู้ 4.ขยายคลังคำศัพท์ 5.ปรับปรุงหน่วยความจำ 6.ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ 7.เพิ่มสมาธิ 8.เพิ่มทักษะการเขียน 9.ความเงียบสงบ 10.เพื่อความบันเทิง ขอบคุณ ข้อมูลจาก : http://www.lifehack.org/articles/lifestyle/10-benefits-reading-why-you-should-read-everyday.html

5 วิธีออกกำลังกายง่ายๆในที่ทำงาน

5 วิธีออกกำลังกายง่ายๆในที่ทำงาน 1.ใช้บันได มันอาจเป็นวิธีง่ายๆ แต่การเดินขึ้นบันไดนั้นช่วยให้คุณเผาผลาญพลังงาน 0.17 แคลลอรี่ ต่อขั้นบันได การเดินขึ้นบันไดหลังอาหารกลางวันเป็นวิธีที่ดีเลยทีเดียว 2.แชร์ดิปส์ อาจจะเป็นท่าออกกำลังกายที่แอดวานส์สักเล็กน้อย แต่มีประสิทธิภาพต่อการเบิร์นพลังงานและช่วยบริหารกล้ามเนื้อไทรเซบรวมทั้งกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องหลายๆส่วน 3.ท่าดึงเข่าบนเก้าอี้ สำหรับชาวออฟฟิตที่หมดเวลาส่วนใหญ่บนหน้าคอมพ์ ลองเจียดเวลาเล็กๆน้อยๆมาบริหารท่าขาง่ายๆท่านี้ 20 ครั้ง ต่อเซ็ท ใช่เวลาเพียงเล็กน้อย ในเวลาเร่งรีบ 4.โค้งแขนดัดไหล่ ท่านี้เป็นท่าง่ายๆที่ทำให้คุณยืดเส้นยืดสายผ่อนคลายจากท่านั่งทำงานมาเป็นเวลานาน เพียงใช้เวลานั่งบนเก้าอี้ ทำแขนเป็นรูปตัว V จากลำตัว และดัดตัวลงตามแนวเฉียว 5.วิดพื้นโต๊ะ ไม่ต่างจากการวิดพื้นบนพื้น แต่เปลี่ยนมาใช้โต๊ะแทน เพื่อยืดเส้นยืดสายกล้ามเนื้อต่างๆที่แช่แข็งจากการนั่งทำงานมาเป็นเวลานานหลายชั่วโมง ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.lifehack.org/389316/5-smart-ways-to-exercise-at-work