How-To

วิธีทำให้ยอดติดตามบน TikTok เติบโตเกิน 10,000 Followers ภายใน 6 เดือน

TikTok กลายเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมที่ไม่ใช่ให้เฉพาะแค่ความบันเทิงเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นพื้นที่สำหรับการทำธุรกิจได้อีกด้วย พ่อค้า-แม่ค้า รวมถึงแบรนด์ต่าง ๆ หันมาใช้ช่องทางนี้ในการสื่อสารขายสินค้ากันจำนวนมาก แน่นอนว่าอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญไม่แพ้คือการมีผู้ติดตามจำนวนมาก เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ความไว้วางใจ Smartsme จะพามาดูเทคนิคของ Jon Loomer ที่ใช้ระยะเวลา 6 เดือน สร้างผู้ติดตามบน TikTok ถึง 10,000 คน แม้จะเป็นความสำเร็จเล็ก ๆ แต่ก็เป็นความภูมิใจของเจ้าตัวกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ โดย Jon มีวิธีทำอย่างไร เรามาหาคำตอบกัน Jon บอกว่ามันเป็นเรื่องตลกหากบอกว่าผมใช้เวลา 6 เดือน ในการสร้างยอดผู้ติดตามบน TikTok มากถึง 10,000 คน โดยตนยอมรับว่าไม่ชอบ TikTok เลย และเกลียดทุกอย่างที่เป็นวิดีโอสั้น แต่หลังจากนั้นได้กลับมาคิดว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องทำ ผ่านเทคนิคดังต่อไปนี้ ซื้อโฆษณาในช่วงต้น ส่วนที่ยากที่สุดในการเริ่มต้น คือการเผยแพร่วิดีโอ จะทำอย่างไรให้เข้าถึงคนมากที่สุด โดยอาจจะมีวิธีสร้างโปร์ไฟล์ให้น่าสนใจ แต่การซื้อโฆษณาก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ควรทำ ซึ่งตั้งแต่มุ่งมั่นสร้างวิดีโอบน TikTok ในช่วงระยะเวลา 3 เดือน […]

6 แนวคิด ลงมือทำเพื่อความสุขระยะยาว

หลายคนบอกว่าความสุขของคนเรามันอยู่ที่ใจ แล้วเราจะทำยังไงให้ใจสุข เราต้องเริ่มจากการตกลงกับมุมมองและความคิดตัวเองก่อน วันนี้เรามีแนวคิดเพื่อที่จะให้มีความสุขระยะยาวมาฝากกัน 1.ไม่สนว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบ เพราะหน้าที่รักตัวเอง เป็นหน้าที่ของเรา 2.พยายามอยากเป็นคนอื่น คือ การเสียตัวตนของตัวเอง อย่าพยายามเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้คนอื่นมีความสุข จงเป็นตัวเองและทำให้ตัวเองมีความสุขก็พอ 3.เวลาของคุณมีค่าเกินกว่าจะเสียไปกับคนที่ไม่ยอมรับหรือเห็นค่าคุณ โลกนี้เปรียบเสมือนเหรียญ ซึ่งมันมี 2 ด้านเสมอ อย่าเอาเวลาไปทิ้งกับคนที่ไม่ยอมรับหรือเห็นคุณค่าเรา เพราะยังมีบางคนเขายอมรับและให้คุณค่ากับเรา 4.พัฒนาตัวเองแต่โลกภายนอก จนลืมรักตัวเองก็เหมือนการสร้างบ้านบนทราย คุณสร้างได้แต่มันจะจมเสมอ เพราะโลกภายในไม่เคยเติมเต็ม 5.การยอมรับตัวเอง หมายถึง การใช้ชีวิตที่คุณเลือกที่จะอยู่โดยไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับคุณไม่สำคัญว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับคุณ สิ่งที่สำคัญคือ สิ่งที่คุณคิดเกี่ยวกับตั๋วเอง 6.ความเหงาที่เลวร้ายที่สุด คือ การไม่สบายใจกับตัวเอง อย่าคิด หรือกังวลมากเกินไป เหตุเหล่านี้แหละจะก่อให้เกิดการไม่สบายใจกับตนเอง

“6 อย่า” ที่ควรแก้ หากไม่อยากเงินหมดตัว

การที่เราจะเก็บเงินให้อยู่เราต้องกำจัดปัญหาที่ที่ทำให้เงินเราไม่เหลือเก็บซะตั้งแต่ต้น ถ้าคุณอยากเก็บเงินในแต่ละเดือนให้ได้ตามเป้า เรามาดูกันว่าสิ่งที่เราควรเลี่ยงมีอะไรบ้าง 1.อย่าใช้เงินเกินตัว มีเงินอยู่อย่างจำกัด แต่ทำตัวเป็นคนรวยใช้จ่ายอย่างไม่จำกัด วิธีแก้เริ่มง่าย ๆ จากการแบ่งสันปันส่วนรายรับในแต่ละเดือน แจกแจงส่วนที่จำเป็นต้องจ่ายในแต่ละเดือน แบ่งเก็บส่วนหนึ่ง และกักเอาไว้บางส่วนเพื่อเป็นค่ากิน บวกกับค่าจิปาถะที่คาดว่าจะต้องใช้เอาไว้ แต่ที่สำคัญที่สุด ต้องเพิ่มวินัยในการใช้เงินให้ตัวเองด้วย 2.อย่าฟุ่มเฟือย ลองเช็กตัวเองดูว่าทุกวันนี้เราใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไหม กินหรูทุกมื้อ เหตุผลที่ทำให้เงินในกระเป๋าแห้ง วิธีแก้เริ่มตั้งแต่ตัดรายการฟุ่มเฟือยในชีวิต และลองใช้ชีวิตแบบสมถะดูบ้าง อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วันกินข้าวแกง และชงกาแฟกินเองบ้างก็ได้ 3.อย่ารูดบัตรเป็นว่าเล่น การมีบัตรเครดิตช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตได้หลายอย่างก็จริง แต่ถ้าคุณไม่มีวินัย แถมยังไร้สติกับการใช้จ่าย คุณอาจจะไม่มีเงินเก็บหรือไม่มีเงินจ่ายขั้นต่ำของบัตรนั้น ๆ เลย 4.อย่าผัดหนี้จนพอกหางหมู ค่ารถ หรือสินค้าอะไรก็ตามแต่ คุณไม่ควรค้างชำระแล้วค่อยหาเงินมาโปะทีหลังเด็ดขาด เพราะหากปล่อยเวลาให้เกินกำหนดชำระค่าใช้จ่าย คุณคงหนีไม่พ้นดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ 5.อย่าใช้เงินเพลินจนลืมนึกถึงวัยเกษียณ หลายคนอาจคิดว่าเพิ่งเริ่มทำงานเท่านั้น จะให้มานั่งคิดถึงบั้นปลายชีวิตตอนเกษียณก็ดูจะรีบไปหน่อยแต่อย่าลืมนะคะว่า ในช่วงที่คุณกำลังไฟแรง มีโอกาสหาเงินเหลือเฟือแบบนี้ ถือว่าเป็นช่วงน้ำขึ้นให้รีบตักก็ว่าได้ 6.อย่าไม่ตั้งเป้าหมายทางการเงินให้ตัวเอง การวางแผนเป็นเรื่องที่ดีกับทุกอย่างในชีวิตเรา โดยเฉพาะการวางแผนทางการเงิน และตั้งเป้าทางการเงินเอาไว้ให้ตัวเอง

ลักษณะการเป็นคนดี เป็นยังไงและควรเริ่มต้นแบบไหน

การเลือกเป็น “คนดี” เป็นเรื่องส่วนบุคคล และเป็นวามหลากหลายของแต่ละคน เรามาดูกันว่าเคล็ดลับที่จะเป็นคนดีควรเริ่มต้นยังไง 1.ใจดี: แสดงความกรุณาและความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่น การแสดงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ สามารถสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ในวันของใครบางคนได้ 2.เป็นผู้ฟังที่ดี : ฟังผู้อื่นโดยไม่ขัดจังหวะหรือตัดสินพวกเขา แสดงว่าคุณสนใจสิ่งที่พวกเขาพูด 3.ฝึกความเห็นอกเห็นใจ: พยายามเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในรองเท้าของคนอื่นและเข้าใจความรู้สึกและมุมมองของพวกเขา 4.ซื่อสัตย์: พูดความจริงเสมอและซื่อสัตย์ในการติดต่อกับผู้อื่น 5.ฝึกความกตัญญู: ขอบคุณสิ่งดีๆ ในชีวิตของคุณและแสดงความขอบคุณต่อผู้อื่น 6.เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง: ค้นหาความรู้และทักษะใหม่ ๆ และพยายามพัฒนาตนเอง 7.รับผิดชอบ: ยอมรับความผิดพลาดของคุณและรับผิดชอบต่อการกระทำของคุณ 8.มีความน่าเชื่อถือ: ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาของคุณและเป็นที่พึ่งได้

เทคนิคตั้งชื่อแบรนด์อย่างไรให้ปัง ไปที่ไหนลูกค้าจำได้ทุกครั้ง

นอกเหนือจากคุณภาพของสินค้าและบริการที่ดีเยี่ยมแล้ว “ชื่อแบรนด์” ก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้ผู้บริโภครับรู้และจดจำการมีอยู่ของแบรนด์ได้ วันนี้มีเทคนิคการตั้งชื่อแบรนด์ให้น่าจดจำมาฝากกัน! 1.สั้นกระชับ การตั้งชื่อแบรนด์ควรมีความสั้นและกระชับ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถจดจำได้อย่างง่ายดาย 2.ชื่อแบรนด์ต้องเขียนง่าย อ่านง่าย การที่ชื่อแบรนด์ของเราเขียนได้อย่างง่ายนั้น ยิ่งมีประโยชน์อย่างมาก เพราะว่าผู้บริโภคสามารถทำการพิมพ์ข้อมูลของแบรนด์ได้อย่างถูกต้อง 3.ใช้คำที่มีความหมาย อ่านแล้วเข้าใจทันที การตั้งชื่อแบรนด์ให้สามารถอ่านแล้วเข้าใจได้เลยในทันที ไม่เพียงแต่จะทำให้แบรนด์ดูมีคาแรคเตอร์ที่โดดเด่นและน่าจดจำเท่านั้นแต่ยังเป็นการสื่อสารกับผู้บริโภคให้รับรู้ได้เลยในทันทีว่าแบรนด์ของเรามีสินค้าและบริการเกี่ยวกับอะไรบ้าง 4.ชื่อแบรนด์ภาษาไทยกับภาษาอังกฤษต้องสอดคล้องกัน หากชื่อแบรนด์ของคุณมีการแยกทั้งภาษา ไทยและภาษาอังกฤษ สิ่งที่ควรระวังมากที่สุดก็คือการอ่านออกเสียงและความหมายที่อาจจะผิดเพี้ยน เมื่ออยู่ในบริบทของอีกภาษา 5.ชื่อแบรนด์ต้อง ไม่ซ้ำหรือคล้ายกับชื่อแบรนด์อื่นๆ ที่มี การที่ตั้งชื่อแบรนด์ให้ไม่ซ้ำและคล้ายกับแบรนด์อื่นๆ ก็เพื่อป้องกันการสับสนและเข้าใจผิดของผู้บริโภคที่จะเกิดขึ้นได้

7 แนวคิดเพื่อพัฒนาเป็นคนทำงานที่เก่งขึ้นกว่าเดิม

คนที่เก่ง ๆ ที่เราเคยเห็นกันนั้น อาจไม่ได้เก่งด้วยพรสวรรค์เหมือนกันหมด มันอาจเกิดจากพรแสวงในตัวบางคนที่พยายามพัฒนาตัวเองให้กลายมาเป็นคนที่เก่งขึ้น 1.ให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าขั้นตอน ไม่ต้องรอจน 100% แค่มีข้อมูลบางส่วน ก็เริ่มลงมือทำได้แล้วจะช่วยให้งานเดินหน้าและเห็นผลลัพธ์ได้ ง่าย 2.จะไปสู่ความสำเร็จได้ต้องลองผิดพลาดให้มาก เชื่อว่าความผิดพลาด คือการเรียนรู้ เพื่อมุ่งหน้าไปสู่ความสำเร็จ 3.กำหนดเวลาเพื่อพิจารณาการทำงาน กำหนดเวลาทบทวนการทำงานเพื่อแก้ไขและพัฒนาต่อไป 4.สิ่งสำคัญในการทำงานคือคุณภาพไม่ใช่ปริมาณ พนักงานที่เก่งจะให้ความสำคัญ กับสิ่งที่ต้องการสื่อสารมากกว่าความยาวในการสื่อสาร 5. ฟีดแบ็กคือสิ่งล้ำค่า ถามความคิดเห็นระหว่างขั้นตอน การทำงานเสมอ ยังช่วยให้อีกฝ่ายรู้สึกมีส่วนร่วม 6.ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว ก็ต้องหาสาเหตุให้เจอ พิจารณาและหาสาเหตุ เข้าใจตัวเอง ทั้งตอนสำเร็จ และล้มเหลว 7.มักทำงานแต่เนิ่นๆ เริ่มลุยงานแต่ช่วงเช้าๆ ที่สมองยังปลอดโปร่ง เพื่อให้เสร็จ งานสำคัญในเวลางาน

หมดไฟจะแก้ไขอย่างไรให้กลับมามีพลังลุกขึ้นสู้อีกครั้ง

หลายคนกำลังรู้สึกหมดไฟในตัวเอง เรามาดูกันว่ามีวิธีอย่างไรที่จะเติมไฟ หรือเพิ่มพลังใจ แก้อาการภาวะหมดไฟ ให้กับเรา เหนื่อยก็หยุดพัก นอนเล่น กินของอร่อย ทุกคนล้วนเจอเรื่องต่าง ๆ มามากมาย เหนื่อยก็แค่พัก เมื่อสุขภาพจิต และสุขภาพร่างกายแข็งแรง ความเครียดก็จะลดลง ทำกิจกรรมที่ชอบ ทำกิจกรรมที่เราชอบ เช่น ร้องเพลง เล่นกีฬา เพื่อเอาตัวเองออกจากความเครียด ค้นหาสาเหตุว่า หมดไฟเพราะอะไร ถ้าเป็นเรื่องงาน ควรจัดลำดับความสำคัญของงาน แล้วทำให้สำเร็จทีละอย่าง อย่าทำทีเดียวทุกงาน ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ที่ไม่ยากเกินไป เช่น ทำงานโปรเจ็คนี้เสร็จ จะไปเที่ยวทะเลเพื่อผ่อนคลาย ปรับทัศนคติ อย่ากดดันตัวเองเกินไป เราทุกคนเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง มีทั้งเรื่องที่ ผิดพลาดหรือทำไม่ได้เป็นธรรมดา อย่ากดดันตัวเองจนทำให้เราหมดไฟที่จะทำอะไรหลายๆ อย่าง

5 สิ่งที่ควรทำ เมื่อเจอหัวหน้างานที่เราไม่ปลื้ม

ถ้าคุณเป็นคนที่เจอกับปัญหาแบบนี้ และกำลังมีความคิดอยากลาออกขึ้นมาเพียงเพราะเจอหัวหน้างานที่เราไม่ปลื้ม เก็บใบลาออกเอาไว้และลองอ่านคำแนะนำนี้ก่อน 1.ปรับมุมมอง ลองเปลี่ยนจากการคิดในมุมของเรา เป็นการคิดในมุม ของหัวหน้า การอยู่ในตำแหน่งที่ต้องรับผิดชอบทั้งงานและคนในทีม ไม่ใช่เรื่อง ง่าย ๆ อาจจะช่วยให้เราเข้าใจเขามากขึ้น และลดความขัดแย้งลงได้ 2.ลองหยุดโทษคนอื่น ลองมองตัวเอง ลองพิจารณาตัวเราเองด้วยเหมือนกันว่าเราทำดียัง ถ้าปัญหามันเกิดจากเราจริง ๆ ก็ให้ถือซะว่านี่เป็น โอกาสดีที่เราจะได้ปรับปรุงและพัฒนาตัวเอง 3.ลองคุยกับเพื่อนร่วมงานหรือถามคนที่เคยทำงานร่วมกับหัวหน้าคนนี้ว่าเป็นยังไง ถ้าคำตอบเขาไม่เลวร้าย หรือก็ยังคงทำงานกับหัวหน้าคนนี้อยู่ แสดงว่าหัวหน้าคนนี้อาจจะไม่ได้เลวร้ายมากแบบที่เราคิด 4.เปลี่ยนหัวหน้าโดยการย้ายแผนก ถ้าคุณรู้สึกว่าไม่ไหวกับหัวหน้าคนนี้จริง ๆ แต่ยังชอบในรูปแบบการทำงาน หรือชอบในตัวบริษัทอยู่ อย่าเพิ่งรีบด่วนลาออก เพราะการตัดสินใจลาออกจากงานเพียงเพราะคน ๆ เดียว มันอาจทำให้เราอาจต้องเสียอะไรดี ๆ อย่างอื่นไป

บอกขั้นตอนอยากขายของใน TikTok ทำตามนี้เปิดร้านได้เลย

TikTok ถือเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มยอดนิยมของผู้คนในยุคปัจจุบันที่กำลังมาแรงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยที่กลายเป็นช่องทางรับรู้ข่าวสาร เสพคอนเทนต์เรื่องต่าง ๆ เป็นลำดับต้น ๆ แน่นอนว่าเป็นโอกาสของเหล่าครีเอเตอร์ที่จะได้สร้างสรรค์คอนเทนต์ตามสไตล์ของตัวเองเผยแพร่ออกไป หากมองในการทำธุรกิจ TikTok ก็มีบริการที่มีชื่อเรียกว่า TikTok Shop โดยเปิดโอกาสให้ผู้คนเข้ามาขายสินค้าได้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะเป็นช่องทางในการขายสินค้าให้กับผู้ประกอบการได้ Smartsme จะพามาดูกันว่าหากอยากขายสินค้าใน TikTok ต้องทำอย่างไรบ้าง ขั้นตอนที่ 1 ลงทะเบียนด้วยหมายเลขโทรศัพท์ประเทศไทย และอีเมล โดยสามารถเข้าสู่ระบบได้โดยตรง หากเคยลงทะเบียนหมายเลขโทรศัพท์ และอีเมลไว้บนแพลตฟอร์ม TikTok For Business แล้ว ขั้นตอนที่ 2 ใช้เอกสารยืนยันตัวตน สำหรับบุคคลธรรมดา ใช้เอกสารยืนยันตัวตนที่หน่วยงานราชการออกให้ เช่น บัตรประจำตัวประชาชน หรือหนังสือเดินทาง ส่วนนิติบุคคล ใช้เอกสารรับรองการจดทะเบียนประกอบธุรกิจ เช่น หนังสือรับรองบริษัท ใบจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภพ20) ขั้นตอนที่ 3 รอผล โดยจะรับการตรวจสอบภายใน 1-2 วันทำการ และผลสมัครจะถูกส่งไปยังอีเมลของคุณ ขั้นตอนที่ 4 ตั้งค่าร้านค้า และรอขาย […]

5 วิธีการพัฒนาตัวเอง เป็นคนมีความฉลาดทางอารมณ์

วันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ Smartsme จะพามาพัฒนาตัวเองให้เป็นคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ 5 วิธีด้วยกัน จะมีเรื่องอะไรบ้าง อย่ารอช้ามาดูกันเลย 1.ฝึกทบทวนตัวเอง ประเมินอารมณ์ ความคิด และปฏิกิริยาของตัวเองอย่างสม่ำเสมอจดบันทึกหรือฝึกสติ เช่น การทำสมาธิ 2.ขอคำติชม จากเพื่อนร่วมงาน เพื่อน และครอบครัวเกี่ยวกับการตอบสนองทาง อารมณ์และการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของตนเอง เพื่อให้รู้ว่ามีส่วนไหนที่ควรปรับปรุงแก้ไข 3.พัฒนาทักษะการฟัง ทำความเข้าใจอารมณ์และมุมมองของผู้อื่นอย่างแท้จริงผ่านการฟังอย่างตั้งใจและถามคำถามปลายเปิด 4.จัดการกับความเครียด หาวิธีที่ดีต่อสุขภาพในการรับมือกับความเครียดอย่างเหมาะสม เช่น การออกกำลังกาย พัฒนาทักษะ 5.การสื่อสาร ฝึกฝนการสื่อสารที่ชัดเจน กระชับ และมีความเห็นอกเห็นใจ ทั้งด้วยวาจาและการสื่อสารอื่น ๆ ที่ไม่ใช่คำพูด เช่น การเขียน เป็นต้น

อุปนิสัยที่ควรแก้ไขเร่งด่วน ถ้าอยากประสบความสำเร็จ

การพัฒนาตัวเองให้ประสบความสำเร็จ คุณต้องปรับปรุงอุปนิสัยที่เป็นปัญหาในการพัฒนาตนเองก่อนทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการกระทำของตัวเราเองทั้งสิ้น เลิกคิดลบ ความคิดบวกและความคิดลบสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกเวลา แต่ความคิดลบมักเกิดได้เร็วกว่า ดังนั้น จงรักษาทัศนคติให้มีแต่ความคิดบวกไว้มาก ๆ หยุดนึกถึงอดีตที่ล้มเหลว ความล้มเหลวเป็นตัวชี้ข้อผิดพลาดที่คุณเคยทำผ่านมา คือทางผ่านเป็นเรื่องของขบวนการ ไม่ได้เป็นจุดจบของทั้งชีวิต อย่าตีความว่านั้นต้องเป็นเครื่องแสดงความอัปยศไปตลอดชีวิต อย่าทิ้งบทเรียนที่ได้มา หรือความตั้งใจแรกในการทำสิ่งนั้น หยุดผัดวันประกันพรุ่ง การปล่อยปละละเลยหน้าที่การงานในส่วนที่เราไม่ชอบไม่เกิดผลดีใด ๆ และก็ทำให้คุณดูไม่เป็นมืออาชีพ การเพิ่มระดับความใส่ใจในชิ้นงานแทนการผัดวันประกันพรุ่ง นอกจากคุณภาพงานจะทำออกมาดีแล้ว ยังช่วยลดความเครียดในการทำงานด้วย เลิกเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น เมื่อไรที่คุณเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น คุณจะสูญเสียความเป็นตัวตน เป้าหมายและสติได้ง่ายมาก ตามมาด้วยอารมณ์อิจฉา ,เศร้าหมอง และเกิดเป็นปมด้อย จงทำตัวให้เด่นเป็นทีม อย่าเด่นเพียงตัวคนเดียว ลองกล่าวชื่นชมคนอื่นด้วยความยินดี สร้างวัฒนธรรมที่ดีในสังคมการทำงานของคุณเลิกตั้งเป้าหมายเพ้อฝัน สิ่งที่สำคัญในการตั้งเป้าหมาย คือ เป้าหมายต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง อย่าตั้งเป้าหมายที่ชี้วัดไม่ได้ อย่าตั้งเป้าหมายที่สูงเกินตัว อย่าตั้งเป้าหมายระยะสั้นเกินไป

คอนเฟิร์ม! 10 เรื่องฝึกทำตอนนี้ แล้วชีวิตจะดีขึ้นตลอดไป

แน่นอนว่าทุกคนย่อมอยากพัฒนาตัวเอง ทั้งด้านสภาพร่างกาย จิตใจ และความคิด เพื่อให้เป็นคนที่ดียิ่งขึ้นกว่าเมื่อวาน โดยการจะทำแบบนั้นได้ เราต้องมีแนวทางที่ต้องทำในทุก ๆ วัน จนกลายเป็นนิสัย Smartsme จะพามาศึกษา 10 เรื่องฝึกทำตอนนี้ แล้วชีวิตจะดีขึ้นตลอดไป จะมีอะไรบ้างนั้น มาดูกัน 1.จัดลำดับความสำคัญของสุขภาพร่างกายและจิตใจของคุณ มีงานวิจัยยืนยันว่าสุขภาพที่ดี จะส่งผลให้สุขภาพสมองและสุขภาพจิตดีขึ้นตามไปด้วย การดูแลความเป็นอยู่ที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตที่ดี ซึ่งอาจรวมถึงการออกกำลังกายเป็นประจำ การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และการฝึกเทคนิคการจัดการความเครียด 2.สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ความสุข 90% ของเราจึงมาจากคนรอบข้าง มีงานวิจัยมากมายที่ยืนยันว่าคนที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างจะมีความสุขมากกว่า ทั้งความสุขในการทำงานและความสุขจากงานอดิเรก 3.แบ่งเวลาทำงานตามแพชชั่นของคุณ มีงานวิจัยยืนยันว่า การแบ่งเวลามาทำตามแพชชั่นหรืองานที่ตัวเองหลงไหล จะสร้างความสุขและช่วยเพิ่มพลังได้ 4.ฝึกฝนการสร้างทัศนคติที่ดี เราสามารถฝึกฝนเพื่อสร้างทัศนคติที่ดีได้ การใช้เวลาเพื่อชื่นชมสิ่งดีๆ ในชีวิตสามารถปรับปรุงอารมณ์และความรู้สึกโดยรวมของเราให้เป็นอยู่ที่ดี 5.เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การเรียนรู้ในไม่มีวันจบสิ้น การเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และการเพิ่มพูนความรู้สามารถช่วยให้จิตใจของคุณเฉียบคมขึ้น การเรียนไม่เพียงเพิ่มพูนความรู้เท่านั้น แต่ยังได้ไอเดียใหม่ๆ ที่สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตได้อีกด้วย 6.ตอบแทนผู้อื่น มีคนกล่าวไว้ว่า ความสำเร็จของคนเรา 50% มาจากคนอื่น ดังนั้นอย่าลืมที่จะแสดงความขอบคุณต่อผู้คน การขอบคุณไม่เพียงทำให้ทั้งเราและเขามีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากขึ้น แต่ยังช่วยสร้างความสุขที่ดีแก่ตัวเราเองอีกด้วย 7.ฝึกสติ […]

ศัตรู “ฉุดรั้ง” ทำให้คุณไม่เข้าใกล้กับความสำเร็จสักที

แน่นอนว่าทุกคนย่อมมีเป้าหมายที่อยากจะประสบความสำเร็จ แต่หากนั่งคิด อยู่เฉยๆ ก็คงเป็นได้แค่ความฝันเท่านั้น อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญนั่นคือศัตรูที่คอย “ฉุดรั้ง” ทำให้คุณไม่ประสบความสำเร็จสักที หากคุณยังติดกับดักนี้อยู่รับรองความสำเร็จจะห่างไกลออกไปทุกที สำหรับศัตรูที่คอย “ฉุดรั้ง” มีอะไรบ้างนั้น มาดูกัน 1.Comfort zone Confort zone จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึก สบายใจ ในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ จนเรา ไม่อยากเปลี่ยนแปลง คนส่วนใหญ่มักมองหาเหตุผลที่จะไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งๆ ที่การเปลี่ยนแปลงอาจส่งผลให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น 2.ชอบพูดว่าตัวเองทำไม่ได้หรอก ในชีวิตจริง เราไม่รู้หรอกว่าอนาคตเราสามารถทำอะไรได้บ้าง บางสิ่งบางอย่างที่เราคิดว่าทำไม่ได้ในวันนี้ วันหน้าเราอาจจะทำได้ก็ได้และทำได้ดี 3.ไม่กล้าเผชิญกับความยาก คนบางคนมองหาแต่วิธีที่ง่ายๆ พอเจออะไรยากๆก็ไม่อยากทำ ในชีวิตจริงไม่มีที่ได้มาง่ายๆ โดยไม่ต้องลงแรงอะไรเลย ทุกอย่างต้องใช้ความพยายาม

6 กลยุทธ์ทำอย่างไรเมื่ออยู่กับงานที่ไม่ชอบ

กลยุทธ์ที่เรากำลังจะแนะนำกันต่อจากนี้ ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะทุกวันนี้มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ชอบในงานที่ตัวเองกำลังทำอยู่ แทนที่คุณจะมานั่งใจลอยไปวันๆ ลองปรับชีวิตของคุณให้เข้ากับที่ทำงานดู แล้วคุณจะรู้ว่าเราสามารถมีชีวิตที่ดีในงานที่น่าเบื่อได้ 6 กลยุทธ์ในการอยู่ให้เป็นกับงานที่ไม่ชอบ 1. เริ่มจากทำความรู้จักกับเพื่อนรอบๆ ตัว หากงานมันน่าเบื่อ ลองค้นหาผู้คนในที่ทำงานที่จะช่วยให้ชีวิตของคุณดีขึ้น เพราะหลายครั้งคนเลือกที่จะอยู่กับงานที่น่าเบื่อ ด้วยการแลกเอากับการที่มีเพื่อนร่วมงานที่ดีแทน ลองเปิดใจแล้วทำความรู้จักกับคนรอบๆ ตัวดู ไม่แน่คุณอาจจะพบว่างานที่น่าเบื่อกำลังจะเปลี่ยนไปเมื่อได้ทำงานร่วมกับเพื่อร่วมงานที่ดีก็เป็นได้ 2. หัดเป็นคนคิดบวก หากงานที่คุณกำลังทำมันน่าเบื่อมาก ให้คุณลองหันไปใส่ใจในองค์ประกอบเล็กๆ แทน ให้มองหาข้อดีของงานที่กำลังทำอยู่นี้ มองหามุมมองด้านบวกให้กับทุกอย่างที่คุณกำลังทำ หากงานไม่ดีแต่บริษัทไม่ได้แย่ไปหมดซะทุกอย่าง หาด้านบวกที่อยู่ในบริษัทให้เจอ แล้วชีวิตคุณจะดีขึ้น 3. มองไปที่สิ่งที่คุณจะไปต่อ แม้ว่างานที่ทำอยู่วันนี้อาจไม่ใช่สิ่งที่คุณคาดหวัง แต่คุณต้องมองให้ออกว่าเส้นทางต่อไปของคุณคืออะไร หากคุณกำหนดบทบาทที่คุณจะไปต่อเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วละก็ คุณก็จะมีวิธีจัดการกับงานน่าเบื่อที่ต้องทำอยู่ตอนนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น เพราะคุณรู้ว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป ทำไปเพื่อคุณจะได้ไปต่อ 4. กดปุ่มความอดทนของคุณ ไม่มีใครได้อะไรอย่างที่ใจต้องการตลอดเวลา หากคุณกำลังเบื่อถึงขีดสุด ก็ได้เวลาที่คุณจะต้องทำการกดปุ่มความอดทนของคุณกันแล้ว ทุกอาชีพจะมีช่วงเวลาในการเติบโตแตกต่างกันไป ตอนนี้มันอาจจะยังไม่ใช่เวลาของคุณ อดทนเอาไว้แล้วเมื่อถึงเวลาทุกอย่างจะดีเอง 5. เรียนรู้ในสิ่งที่ไม่ควรทำ หลักจากที่เราได้เรียนรู้แล้วว่าอะไรคือประสบการณ์เชิงบวกที่เราต้องทำ ตอนนี้ก็ได้เวลาที่เราจะทำการเรียนรู้ประสบการณ์เชิงลบกันบ้าง เพราะหลักจากที่เราได้เรียนรู้เรื่องราวเชิงลบแล้ว มันจะทำให้เราสามารถเลือกได้อย่างถูกต้องได้ว่า อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ 6. มองหาสิ่งที่คุณควรจะได้จากบริษัท บางทีคุณอาจไม่รักงานของคุณที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ […]

ทำธุรกิจยุคนี้ หน้าร้านยังจำเป็นหรือไม่

การพัฒนาของเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทสำคัญ สร้างการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนไปจากเดิม ส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาหน้าร้านเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป ปัจจุบันเราจะเห็นแพลตฟอร์มในลักษณะของมาร์เก็ตเพลสที่สายชอปปิ้งออนไลน์รู้จักกันดี ไม่ว่าจะเป็น Shopee, Lazada ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการทั้งรายเล็ก และรายใหญ่ ได้นำเสนอขายสินค้า พร้อมทั้งจัดโปรโมชันกระตุ้นยอดขายในช่วงเทศกาลต่าง ๆ เพื่อดึงดูดผู้บริโภคควักเงินซื้อสินค้ามากขึ้น รวมถึงขั้นตอนการซื้อ-ขายที่ไม่ยุ่งยากอะไร ครบจบในแพลตฟอร์มเดียว นอกจากนี้ สื่อโซเชียลมีเดียก็ถูกประยุกต์นำมาใช้ประโยชน์ในเรื่องของการขายสินค้าเช่นกัน ทั้ง Facebook, Instagram ที่เป็นสื่อกลางในการขายสินค้า สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง และทำการตลาดขยายออกไปในวงกว้างได้อีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ค้ายังรู้ถึงกระแสตอบรับของสินค้าชิ้นนั้นว่าได้รับความนิยมจากผู้บริโภคหรือไม่ เพื่อที่จะวางแผนทำการตลาดให้มีประสิทธิภาพต่อไป อีกประเด็นที่สำคัญซึ่งสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน คือ การไม่มีหน้าร้านจะไม่เสียค่าใช้จ่ายเรื่องค่าเช่า ซึ่งเป็นการประหยัดต้นทุน รักษาสภาพคล่องให้กับธุรกิจ อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงหน้าร้านแล้ว อาจจะมีข้อดีอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีตัวตนอยู่จริง ๆ เพราะที่ผ่านมาเราจะเห็นกรณีตัวอย่างในสังคมที่ถูกหลอกจากการซื้อของออนไลน์ ทั้ง การไม่ได้สินค้า, ได้สินค้าไม่ตรงปก หากแบรนด์มีหน้าร้านจะช่วยสร้างความน่าเชื่อให้กับผู้บริโภค รวมถึงความกังวลของผู้บริโภคในเรื่องของไซส์สินค้าที่หากซื้อผ่านช่องทางออนไลน์จะต้องระบุไซส์ให้ชัดเจน ซึ่งหากเกิดข้อผิดพลาดทำให้ต้องเสียเวลาทำเรื่องเปลี่ยนสินค้า หรือกรณีบางร้านค้าระบุชัดเจนว่าไม่รับเปลี่ยนสินค้าทุกกรณี ตรงนี้จะทำให้ผู้บริโภคเสียเงินไปฟรี ตรงข้ามกับหน้าร้านที่สามารถลองสินค้าดูว่าเข้ากับตัวเองหรือไม่ ลองแล้วชอบหรือไม่ชอบ เราไม่อาจสรุปได้ว่าทำธุรกิจยุคนี้ หน้าร้านยังจำเป็นหรือไม่ เพราะมีหลายปัจจัยให้ผู้ประกอบการพิจารณา ทั้งในเรื่องของกลุ่มลูกค้า, สินค้าที่จำหน่าย และปัจจัยเรื่องบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปที่ส่งผลกระทบหน้าร้านที่ขายหรือไม่ ซึ่งตรงนี้ต้องประเมินให้ถี่ถ้วน

5 แนวทางทำอย่างไรให้คนเก่งมาอยู่กับองค์กร

โรเบิร์ต วอลเทอร์ส (Robert Walters) บริษัทที่ปรึกษาด้านการสรรหาบุคลากรระดับมืออาชีพชั้นนำของโลกจากสหราชอาณาจักร เปิดตัวคู่มือด้านเทคโนโลยี (Technology Guidebook) แนะวิธีดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยี เพื่อช่วยขับเคลื่อนธุรกิจของบริษัทให้รุดหน้าอย่างยั่งยืน 5 แนวทางในการสรรหาบุคลากรด้านไอที 1. Going the extra mile – สร้างคุณค่าแบรนด์ที่น่าเชื่อถือมากขึ้น การสร้างแบรนด์ของนายจ้างมีความสำคัญมากในกระบวนการสรรหา แบรนด์บริษัทที่มีความแข็งแกร่งและมีพลังด้านบวกจะช่วยดึงดูดผู้มีความสามารถที่เหมาะสม การขยายการค้นหาเพื่อเข้าถึงกลุ่มคนที่มีความสามารถพิเศษยังสามารถเอาชนะปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านเทคโนโลยีอีกด้วย รวมถึงการทบทวนกระบวนการสรรหาบุคลากร เช่น การทำให้กระบวนการสมัครสั้นลง หรือการลงทุนในการดึงดูดผู้สมัครงาน สามารถช่วยให้ผู้หางานรู้สึกมีคุณค่าและให้ความสนใจกับตำแหน่งนั้น ๆ มากขึ้น 2. Bringing the meaning back to benefits – สวัสดิการที่ตรงใจ แพ็คเกจสวัสดิการที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้นและเสนอตามความชอบส่วนบุคคล นับเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถทางเทคโนโลยี 3 อันดับสวัสดิการที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีให้ความสนใจเมื่อเลือกบริษัท คือ ชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่น (58%) การประกันภัยสำหรับครอบครัว (49%) และการทำงานระยะไกล (46%) 3. The whole is greater than […]

ล้วงลึกเทคนิค Mark Cuban เศรษฐีอเมริกาคนแบบไหนควรจ้าง คนแบบไหนควรมองผ่าน

Mark Cuban มหาเศรษฐีชาวอเมริกาที่สร้างฐานะมาด้วยตนเองจนประสบความสำเร็จ บริษัทที่ทำมีกำไรจากการดำเนินงานอย่างมหาศาล ได้ออกมาเปิดความลับคือเคล็ดลับการจ้างพนักงานว่ามีเทคนิคการเลือกคนอย่างไรบ้าง Mark Cuban สัมภาษณ์ผ่านทางพอดแคสต์ “Starting Greatness” ว่า การทำธุรกิจคุณต้องการสิ่งที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับพนักงานที่คุณต้องการคนที่ทำให้บริษัทเติบโต และรู้เป้าประสงค์ของเจ้าของว่าจะทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ที่วางเอาไว้ ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการจ้างคน เพราะว่าหากเลือกจ้างคนผิดก็จะนำเรื่องปวดหัวเข้ามาโดยไม่จำเป็น เมื่อถึงเวลาตัดสินใจจ้างคนเข้าทำงาน Cuban แนะนำให้ถามตัวเองก่อนว่าผู้สมัครควรมีบุคลิกภาพ, เป้าหมาย และแรงบันดาลใจว่าเป็นไปตามศักยภาพของบริษัทหรือไม่ ซึ่งการค้นหาพนักงานประเภทนี้จะช่วยลดความตึงเครียด คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินให้ใครบางคนมาสร้างความเครียด เราต้องการพนักงานประเภท stress-reducers ที่จำเป็นต้องเข้างาน 9 โมง และเลิก 5 โมงอยู่ โดยพนักงานอยู่จะทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย A, B และ C ออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็ยังมีพนักงานบางรายที่ก้าวไปไกลกว่านั้น ทำงาน D, E และ F ให้สำเร็จ ซึ่ง Cuban แนะนำว่าควรมีพนักงานกลุ่มนี้ไว้ แต่ไม่ควรมากจนเกินไป เพราะพวกเขาจะทำงาน A, B และ C ไม่เสร็จ […]

บอกหมดเปลือก! 18 เทคนิคการขาย ที่ใช้ได้ดีกับลูกค้าทุกสถานการณ์

หากคุณทำธุรกิจและยังคิดไม่ตกว่าจะมีวิธีอย่างไรให้รักษายอดขายให้ธุรกิจไปรอด เหล่านี้คือ 18 เทคนิคการขายที่สามารถใช้กับลูกค้าในหลายรูปแบบและหลายสถานการณ์ หากคุณทำธุรกิจและยังคิดไม่ตกว่าจะมีวิธีอย่างไรให้รักษายอดขายให้ธุรกิจไปรอด เหล่านี้คือ 18 เทคนิคการขายที่สามารถใช้กับลูกค้าในหลายรูปแบบและหลายสถานการณ์ โดย ดร.วิชัย ว่องศิลป์วัฒนา กูรูด้านการขายและการเจรจาต่อรอง ที่ได้แนะนำไว้ดังต่อไปนี้ เทคนิคที่ 1 : รู้จักตัวเอง คนเรามักจะคิดว่าเรารู้จักตัวเองดี แต่จริง ๆ แล้วคนส่วนใหญ่มักไม่รู้จักตัวตนของตัวเอง หรือยังไม่สามารถเข้าใจตัวเองว่าแท้จริงแล้วคิดอะไรอยู่ เช่น ถ้าอยากขายบ้านที่อยู่ปัจจุบัน เราคิดแล้วหรือยังว่าถ้าเขาจะมาซื้อแล้วขอเข้าอยู่อาศัยทันที เราจะไปอยู่ที่ไหน หรือ บอกราคาขายไปแต่ไม่มีราคาสำหรับต่อรองในใจเลย แถมบางคนบอกขายบ้านเพราะต้องการเช็คราคาไม่ใช่ต้องการขายจริง ….ผมเคยเจอบ้านอยู่หลังหนึ่งทุกครั้งที่สามี-ภรรยาคู่นี้ทะเลาะกัน วันรุ่งขึ้นต้องมีป้ายประกาศขายบ้านติดหน้าบ้านเสมอ กรณีนี้ไม่ใช่การตั้งใจจะขายบ้านจริง ๆ แต่เป็นเรื่องการประชดประชันมากกว่า การรู้ตัวเองคือต้องรู้ว่าเรามีวัตถุประสงค์อย่างไร จะมีผลในการตั้งราคาขายและกลยุทธ์ในการต่อรองอื่น ๆ ด้วย ดังนั้น ต้องรู้ตัวเองก่อน เพราะหากเขาต่อรองราคาแล้วเกิดขายได้ขึ้นมาจะทำอย่างไร หรือถ้าเราต้องการทดสอบราคา ก็ควรตั้งราคาสูงเข้าไว้เพราะอย่างไรเราก็ไม่ขายอยู่แล้ว ถ้าให้พูดกันตรง ๆ การเจรจาต่อรองมีวัตถุประสงค์ลึก ๆ แล้วก็คือการต้องการจะตรวจสอบราคาสินค้าของตัวเอง จะได้รู้ว่าเราต้องเล่นบทไหนครับ เทคนิคที่ 2 : รู้จักองค์กรหรือบริษัทของตน นั่นคือ รู้จักองค์กรหรือบริษัทของตัวเองว่าการที่เขาส่งเราให้ไปต่อรองราคาเรามีสิทธิ์ลดได้แค่ไหน […]

การมีพนักงานหน้าตาดีอยู่ในร้าน ช่วยเพิ่มยอดขายได้จริง แถมดึงดูดลูกค้าได้อีกด้วย

เคยสงสัยกันไหม ทำไมร้านคาเฟ่หรือร้านต่าง ๆ มักจะมีพนักงานหน้าตาดี ๆ อยู่ด้วยตลอด บางร้านถึงขนาดพนักงานทุกคนหน้าตาดีหมด จริง ๆ แล้วการมีพนักงานหน้าตาดีในร้านนอกจากจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับร้านแล้ว ยังมีข้อดีอย่างอื่นอีกไหม? การมีพนักงานที่หน้าตาดี และบุคลิกดีช่วยส่งผลดีให้กับธุรกิจหลายด้านเลยนะ อันดับแรกเลยจะช่วยสร้างความรู้สึกแรกที่ดีให้กับลูกค้า หรือว่า first impression เพราะทุกครั้งที่มาร้านแล้วเจอพนักงานที่บุคลิกดี สะอาด ดูเรียบร้อย จะช่วยให้ลูกค้าประทับใจตั้งแต่แรกเห็น ยิ่งดีสำหรับร้านอาหาร ช่วยลดการถูกปฏิเสธการขายได้ ด้วยบุคลิกที่ยิ้มแย้ม และเป็นกันเอง รวมถึงภาพลักษณ์ที่ดีของพนักงาน จะช่วยให้ลูกค้าเห็นด้วยและยากที่จะปฏิเสธการขายของเรา เพราะผลการศึกษาจาก International Journal of Hospitality Management ยืนยันแล้วว่า ธุรกิจไหนที่มีพนักงานหน้าตาดี จะช่วยเพิ่มยอดขายหรือการตอบรับจากการเสนอขายได้มากกว่า และลูกค้ามักจะให้ความร่วมมือเวลาขอให้ร่วมกิจกรรมต่างๆ อีกอย่างที่สำคัญและเห็นได้ชัดจริง ๆ คือช่วยเพิ่มภาพลักษณ์และเพิ่มมูลค่าให้กับร้านได้ เพราะอย่างในบ้านเราในยุคที่โซเชียลมีผลกับการใช้ชีวิตแบบนี้ เรามักจะเห็นคลิปที่ร้านต่างๆลงคลิปพนักงานสวยหล่อ หรือแม้แต่เหล่าลูกค้าโพสต์คลิปรีวิวจนเป็นกระแส ทำให้ลูกค้าแห่ไปตามหาร้านกัน อย่างไรก็ตามการมีพนักงานหน้าตาดีก็เป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญคือบุคลิกภาพ ความสะอาดเรียบร้อย และรอยยิ้มที่จริงใจที่มีให้ลูกค้านั้นเอง

เพราะอะไร? เราถึงมีไอเดียเวลานั่งทำงานในร้านกาแฟมากกว่าอยู่ออฟฟิศ

ร้านกาแฟกลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ยอดนิยมของผู้คนยุคนี้ ทั้งใช้พักผ่อนหย่อนใจ ถ่ายรูป รวมไปถึงใช้คิดไอเดียสร้างสรรค์ผลงานออกมา คนดังระดับโลกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น Pablo Picasso, JK Rowling, Simone de Beauvoir Jean-Paul Sartre และ Bob Dylan ซึ่งอยู่ในสาขาอาชีพที่หลากหลาย ทั้งจิตรกร, นักร้อง-นักแต่งเพลง, นักปรัชญา หรือนักเขียน ต่างใช้ร้านกาแฟเป็นสถานที่สร้างสรรค์ผลงานชิ้นโบแดงขึ้นมา การนั่งทำงานในบ้าน หอพัก อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม นำมาสู่ความน่าเบื่อ ขาดแรงจูงใจ หมดแพสชันในการทำงาน แต่เราเคยสังเกตกันหรือไม่ หากเปรียบเทียบการทำงานระหว่างออฟฟิศ และร้านกาแฟ หลายคนมักเรื่องอย่างหลังเพราะมีความรู้สึกว่าเมื่อทำงานที่นี่แล้วรู้สึกตื่นตัว มีความคิดสร้างสรรค์ในการคิดผลงานออกมามากกว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกินความเป็นจริงแต่อย่างใด เพราะมีข้อมูลจากงานวิจัยสนับสนุนออกมาว่า ร้านกาแฟเป็นสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมส่งผลให้การทำงานมีประสิทธิภาพ เช่น การรวมกันของเสียงภายในร้าน, บรรยากาศสบาย ๆ และความหลากหลายของสายตาผู้คนที่ททำให้เรามีความสนใจเรื่องรอบ ๆ ตัวในปริมาณที่เหมาะสม และสร้างสรรค์ผลงานออกมาดีที่สุด สำหรับปัจจัยที่เอื้อต่อการทำงานในร้านกาแฟที่ก่อให้เกิดไอเดียขึ้นมามีรายละเอียดอย่างไรบ้างนั้น มาดูกัน ความรื่นรมย์ของเสียงภายในร้าน เคยสังเกตกันไหมว่า ทำไมบางคนต้องใส่หูฟังทุกครั้งเวลานั่งทำงานในที่สาธารณะ ซึ่งเรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์ได้รู้เรื่องนี้มาเป็นระยะเวลาหลายปีแล้ว โดยเสียงรบกวนพื้นหลังจะเป็นประโยชน์ต่อความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ ตามการศึกษาที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารวิจัยผู้บริโภคในปี 2012 […]

คุยกับซีอีโอ 1,000 คนที่ประสบความสำเร็จ พวกเขาอยากได้พนักงานแบบไหนมาทำงานด้วย

“พนักงาน” ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญที่จะขับเคลื่อนองค์กรให้ประสบความสำเร็จ เดินไปสู่เป้าหมายที่วางเอาไว้ ดังนั้น คนที่เป็นผู้นำขององค์กรย่อมอยากได้พนักงานที่มีคุณสมบัติที่อยากได้ แล้วสเปคแบบไหนที่อยากได้ มาดูกัน ในรายการวิทยุ “The CEO Show” ที่ได้สัมภาษณ์ซีอีโอระดับโลกมากกว่า 1,000 คน ในช่วงเวลา 15 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าภูมิหลังของซีอีโอเหล่านี้จะมีความแตกต่างกัน แต่ทุกคนมีความเห็นพ้องต้องกันว่าต้องการพนักงานที่สร้างการเปลี่ยนแปลงได้ ผ่านสิ่งสำคัญ 4 ประการ ดังต่อไปนี้ 1.รับงานที่ไม่มีใครต้องการ Robert Sanchez กลายมาเป็นซีอีโอของ Ryder System บริษัทโซลูชั่นการขนส่ง และซัพพลายเชนมูลค่าหลายพันล้าน ในปี 2013 โดยเจ้าตัวอยู่กับบริษัทมาเกือบ 30 ปี ซึ่งความสำเร็จของเขาเกิดจากความกระตือรือร้นในการกระโดดเข้าสู่โปรเจคต์ที่มีความแตกต่าง เหล่านี้ทำให้เขาดูโดดเด่น เติบโตเร็วกว่าเพื่อนร่วมงาน “ผมรับงานใหม่เสมอ จนกลายเป็นที่รู้จักในฐานะนักแก้ปัญหา และได้รับโอกาสก้าวหน้าในอาชีพมากขึ้นเรื่อย ๆ” Robert Sanchez กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์วิทยุ นอกจากนี้ Lori Fouche ซึ่งดำรงตำแหน่งซีอีโอที่ Fireman’s Fund Insurance Company และ […]

เปิดอินไซต์ผู้บริโภคในแอปฯ TikTok ช่วงสงกรานต์พวกเขาจะทำอะไร

TikTok ร่วมกับ นีลเส็น” สำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคในช่วงเทศกาลสงกรานต์ มาดูกันว่าในช่วงนี้ผู้คนทำอะไรกันบ้าง โดยสามารถสรุปเป็นประเด็นได้ดังต่อไปนี้ – 97% ของผู้ใช้ TikTok บอกว่าสงกรานต์นี้ไม่ว่าจะไปเที่ยวไหน หรือทำกิจกรรมอะไร ก็ยังมีความตั้งใจจะใช้เวลาอยู่บน TikTok เท่าเดิม หรือมากกว่าเดิม – ผู้บริโภคจะใช้ TikTok สนใจค้นหาข้อมูลคอนเทนต์เกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่ม คิดเป็น 88% รองลงมาคือสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจคิดเป็น 81% – ผู้ใช้คิดเป็น 72% ตั้งใจจะซื้อสินค้าบน TikTok Shop ในช่วงสงกรานต์ โดยเฉพาะในหมวดหมู่อาหาร การท่องเที่ยวเดินทาง สินค้าแฟชั่น ความงามและสุขภาพ ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงของใช้ภายในบ้าน – ปัจจัยที่จะทำให้ตัดสินใจซื้อสินค้ามาจากโฆษณาใน TikTok, โปรโมชันช่วงสงกรานต์ และการจัดส่งสินค้าที่รวดเร็ว – คอนเทนต์ที่มีส่วนช่วยให้ผู้ประกอบการประสบความสำเร็จ แบ่งเป็น 1.คอนเทนต์การเล่าเรื่อง (Story-telling) 2.คอนเทนต์รูปแบบการให้ความรู้พร้อมสร้างความบันเทิง และ 3.คอนเทนต์ที่แสดงถึงไลฟ์สไตล์ของคน

เรื่องบนเตียง ไม่ใช่เรื่องเล็ก! เปิดสาเหตุทำไมถึงไม่ควรทำงานบนเตียง

“ทำงานบนเตียงนอน” หลายคนคงเคยมีโมเม้นท์นี้กันมาแล้วไม่มากก็น้อย ยิ่งเวลาที่งานใกล้ถึงเดดไลน์เดือด ที่นอนที่เคยเป็นเสมือนสววรค์น้อยๆก็กลับกลายเป็นสมรภูมิเดือดไปในทันที แต่สำหรับบางท่านที่อาจจะชื่นชอบการทำงานบนเตียงเป็นปกติ คงสะดวกใจและคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะมีผลเสียอะไร (ถ้ารับสภาพได้ว่างานจะอยู่กับคุณตลอดเวลา) วันนี้เราเลยจะขอโอกาสพาทุกคนไปเช็คสุขภาพกาย สุขภาพใจ และผลเสียของการทำงานบนเตียง 1.คุณภาพการนอนลดลง นักจิตอายุรเวท และนักบำบัดด้านเวชศาสตร์ด้านการนอนหลับ ระบุว่า เมื่อเราใช้เตียงนอน ในการทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น ทำงาน อ่านหนังสือ แม้กระทั่งดูทีวี อาจจะเชื่อมโยงกับร่างกาย ทำให้เราตื่นตัว จนไม่รู้สึกว่าการนอนบนเตียงนั้นคือการผ่อนคลาย 2.ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง เพราะบางครั้งที่นำงานไปทำบนเตียง จะแยกเวลาไม่ออกตอนไหนทำงาน ตอนไหนเป็นเวลานอน แล้วในหัวก็จะคิดถึงเรื่องงานอยู่ตลอด จนไม่รู้ตัวว่าทำงานเต็มที่แล้วหรือยัง หรืองานที่ทำนั้นออกมาดี หรือไม่ดี รวมไปถึงพอคุณภาพในการนอนลดลง ก็จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลงไปด้วย 3.ส่งผลเสียต่อสรีระท่าทาง การทำงานบนเตียง ทำให้สุขภาพร่างกายเสียได้ เพราะบางทีเรานั่ง หรือนอนบนที่นอน เช่นนอนหงาย นอนคว่ำ ซึ่งเป็นท่าที่ไม่ค่อยถูกต้อง เมื่อเทียบกับการนั่งทำงานที่โต๊ะ ที่สามารถจัดท่านั่งให้ถูกต้อง รวมถึงปรับระดับความสูงต่ำของโต๊ะที่วางจอโน๊ตบุ๊กได้ตามความเหมาะสม โดยเราไม่ต้องก้ม หรือเงยมากเกินไป ก็ช่วยลดอาการปวดคอ และปวดหลังลงได้ 4.ทำให้ความสัมพันธ์แย่ลง จากการศึกษา พบว่า ช่วงเวลาที่เราอยู่กับคนรัก การสนใจโทรศัพท์มือถือ อาจส่งผลต่อความพึงพอใจในความสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ เช่น […]

7 ขั้นตอนตั้งค่า Google Analytics ให้กับธุรกิจของคุณ

ช่องทางออนไลน์กลายเป็นช่องทางสำคัญที่คนทำธุรกิจในยุคปัจจุบันจำเป็นต้องมี นอกจากแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์แล้ว เว็บไซต์ก็เป็นที่สิ่งที่สำคัญที่ขาดไม่ได้ เพราะการมีเว็บไซต์ก็เหมือนกับเป็นสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ คนซื้อรู้ว่ามีตัวตนอยู่จริง แต่การมีแค่เว็บไซต์เฉย ๆ ดูจะไม่มีความหมาย ถ้าผู้ประกอบการไม่ได้ใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ เพราะเราสามารถใช้ข้อมูล เก็บสถิติจากคนเข้าเว็บไซต์ผ่านเครื่องมือที่ชื่อว่า Google Analytics ที่จะทำให้เข้าใจลูกค้า ได้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ วัดผลได้อย่างแม่นยำ เพื่อไม่ให้เสียเวลา เรามาดูวิธีตั้งค่า Google Analytics ให้กับธุรกิจของคุณ ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง 1.สร้างบัญชี Google Analytics ขั้นตอนแรกในการเชื่อมต่อ Google Analytics กับเว็บไซต์ของคุณคือการสร้างบัญชี โดยให้เข้าไปที่เว็บไซต์ Google Analytics และลงทะเบียนด้วยบัญชี Google ของคุณ หากไม่มีบัญชี Google คุณสามารถสร้างได้ 2.ตั้งค่าคุณสมบัติ เมื่อคุณสร้างบัญชีเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการตั้งค่าคุณสมบัติ ซึ่งจะเป็นเว็บไซต์ หรือแอปฯ บนอุปกรณ์ที่คุณต้องการติดตาม หากต้องการตั้งค่าใหม่ให้คลิกที่ “Admin” แล้วคลิก “Create Property” หลังจากนั้นทำตามคำแนะนำเพื่อใส่รายละเอียดเว็บไซต์ของคุณ 3.รับโค้ดติดตาม หลังจากที่คุณตั้งค่าใหม่แล้ว คุณจะต้องได้รับโค้ดติดตามของคุณ โดยโค้ดติดตามของคุณเป็นส่วนย่อยของโค้ดเฉพาะที่คุณจะเพิ่มลงในเว็บไซต์ของคุณเพื่อเริ่มติดตามผู้เยี่ยมชม หากต้องการรับรหัสติดตามให้คลิกปุ่ม […]

10 วิธีคิดเพื่อเป็นนักธุรกิจร้อยล้าน คิดอะไรเป็นเงินเป็นทองไปหมด

หลายคนสงสัยมาตลอดเวลาว่าทำไมบรรดานักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ถึงจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด ในการทำธุรกิจอะไรสักอย่างพวกเขาคิดอะไรอยู่ หรือพวกเขามีแนวความคิดเกี่ยวกับการทำธุรกิจอย่างไร ลองเช็กกันดูว่าจากทั้งหมดนี้ตัวคุณเองมีอยู่กี่ข้อ 10 วิธีคิดเพื่อเป็นนักธุรกิจร้อยล้าน 1.ตั้งเป้าความสำเร็จไว้ล่วงหน้า หากคุณอยากเป็นเศรษฐี ลองถามตัวเองก่อนว่า “เป้าหมายของเราคืออะไร” และที่สำคัญ ต้องไม่ใช่แค่คำว่า “อยากรวย” “อยากสบาย” “อยากมีเงินใช้” แต่มันต้องเป็นเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้ 2.จับจ้องเป้าหมายทุกวัน เมื่อตั้งเป้าหมายแล้ว สิ่งสำคัญต่อมาคือการจับจ้องหรือ Focus ไปที่เป้าหมาย ใช้พลังและความคิดสร้างสรรค์ที่เรามีเพื่อให้รู้ว่า เราจะไปถึงเป้าหมายได้อย่างไร 3.หาเงินไว้ลงทุน ไม่ใช่ไว้ใช้จ่าย คนที่เป็นเศรษฐี เมื่อได้เงินมาก็จะนำไปต่อยอดการลงทุน เข้าตำราหาเงินไว้เพื่อลงทุน ไม่ใช่เพื่อใช้จ่าย 4.ใช้ให้น้อยกว่าที่หา ไม่ใช่พอมีรายได้เพิ่มขึ้นแล้วจะกลายเป็นหน้าใหญ่ใจโต ซื้อของโก้หรูมาใช้ เปลี่ยนบ้านใหม่ รถใหม่ แต่เราต้องสร้างนิสัยที่ดีเรื่องการเงินไว้ล่วงหน้า 5.กล้ารับความเสี่ยง เพราะเงินที่มีอยู่จะไม่มีโอกาสงอกเงย หากไม่เข้าไปฉวยโอกาส แต่ต้องเป็นความเสี่ยงที่รับได้และต้องมีการวางกลยุทธ์อย่างดี เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงที่เกิดจากภาวะตลาดตกต่ำหรือช่วงขาลง 6.อย่ากลัวความล้มเหลว เศรษฐีหลายคนไม่เคยกลัวความล้มเหลว เพราะทุกความล้มเหลวย่อมเป็นประสบการณ์ที่ดี และเป็นสิ่งล้ำค่าที่ไม่มีใครหรือหนังสือเล่มใดจะสามารถสอนได้ 7.ทำงานหาเงินให้มากขึ้น นิสัยประจำตัวของบรรดาเศรษฐีจะสังเกตเห็นได้ว่า ยิ่งร่ำรวยอยู่แล้ว ยิ่งไม่หยุดทำงาน ยิ่งมั่งคั่งอยู่แล้ว ยิ่งหาทางต่อยอดการลงทุนให้มั่งคั่งยิ่งขึ้น 8.สู้ตายไม่ท้อถอย เมื่อผิดพลาดและผิดหวังจากสิ่งที่ทำ ต้องถามตัวเองเสมอว่า “เราได้เรียนรู้อะไรจากข้อผิดพลาดนั้นบ้าง” […]

6 ข้อดีของการมีโมบายแอปฯ ในธุรกิจของคุณ

ปัจจุบันช่องทางในการสื่อสารระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคมีหลากหลายช่องทาง ทั้งในรูปแบบออนไลน์ หรือออฟไลน์ ที่จะเสนอสินค้า/บริการไปยังกลุ่มลูกค้า แน่นอนว่าโมบายแอปฯ เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่น่าสนใจ Smartsme จะพาไปดูกันว่า ข้อดีของการมีโมบายแอปฯ ในธุรกิจ จะมีเรื่องอะไรบ้างมาดูกัน 1.เพิ่มการรับรู้ให้กับแบรนด์ การมีแอปพลิเคชันที่เป็นชื่อแบรนด์ของคุณเองช่วยในการกระจายข่าวสารเกี่ยวกับธุรกิจเพียงแค่คลิ๊กครั้งเดียว ซึ่งจะทำใหผู้รู้จักแบรนด์มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นสินค้า หรือบริการที่มีอยู่ นอกจากนี้ แอปฯ ยังช่วยสร้างโอกาสให้กับแบรนด์ต่าง ๆ กระชับความสัมพันธ์กับลูกค้า ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับธุรกิจ ง่ายต่อการสื่อสาร 2.ทำการตลาดตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย การมีโมบายแอปฯ ทำให้แบรนด์เสนอบริการที่มีความเหมาะสม ตรงเป้ากลุ่มเป้าหมายของคุณโดยเฉพาะ เช่น คุณสามารถสร้างแบบทดสอบเพื่อดูว่าลูกค้าของคุณชอบอะไร ข้อมูลเหล่านี้นำมาปรับใช้เพื่อคอนเทนต์ และการแจ้งเตือนไปยังพวกเขามากขึ้น ซึ่งจะเป็นการสร้างประสบการณ์ส่วนบุคคลที่ทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้า และดึงดูดการใช้แอปฯ มากขึ้น 3.ประหยัดเวลา การศึกษาพิสูจน์แล้วว่าแอปพลิเคชันดีกว่าเว็บไซต์ในแง่ของการประหยัดเวลา โดยเว็บไซต์อาจใช้เวลาในการโหลด หรืออาจเกิดกระบวนการผิดพลาดในบางจุด ขณะที่แอปฯ สามารถประหยัดเวลาของลูกค้าด้วยกระบวนการที่รวดเร็ว, เข้าถึงบริการของธุรกิจได้ง่าย เมื่อชำระเงินผ่านแอปฯ จากการศึกษาเรื่อง The Payments Industry Revolution Abandoning Small Change for Big Bets ในปี 2019 พบว่า […]

งานวิจัยชี้พาลูกค้าไปจิบกาแฟที่คาเฟ่ทำให้คุยงานราบรื่น แถมปิดดีลได้ดีกว่า

หนึ่งในการทำธุรกิจคือเจรจาพูดคุยระหว่างกัน แน่นอนว่าบนโลกใบนี้มีสถานที่มากมายให้เราได้ไปนั่งพูดคุย แล้วสถานที่ไหนที่เหมาะสมกับการคุยงาน ปิดดีลธุรกิจ จากหนังสือวิชาอ่านใจให้อีกฝ่ายปฏิเสธไม่ลง เขียนโดน Mentalist DaiGo บอกว่าคาเฟ่เป็นสถานที่ที่คุยงานได้ดีที่สุด โดยอ้างอิงจากงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ชี้ว่าการดื่มกาแฟที่ช่วยให้ถูกโน้มน้าวได้ง่ายขึ้น เพราะคาเฟอีนจะเป็นตัวกระตุ้นประสาท ทำให้คนตื่นตัว มีความตั้งใจฟังอีกฝ่ายมากขึ้น และสามารถถูกชี้นำได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ในหนังสือยังบอกเทคนิคการเลือกเวลาเจรจา โดยบอกว่าควรเลือกเวลาพูดคุยตอนบ่ายในช่วงคู่เจรจารับประทานอาหารเสร็จใหม่ ๆ เนื่องจากสมองจะทำงานได้ช้าลงเมื่อมีอาหารลงเข้าไปในท้อง อวัยวะทำการย่อยทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย ด้วยเหตุจึงทำให้การเจรจามีแนวโน้มประสบความสำเร็จมากกว่า ส่วนฝั่งเราให้รับประทานอาหารไม่ต้องมาก นี่เป็นเพียงอีกหนึ่งเทคนิคที่จะช่วยให้การพูดคุยเจรจาธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น แต่การพูดคุยทุกครั้งเพื่อที่ให้ได้ผลลัพธ์ออกมาดี เราต้องมีการเตรียมตัวทั้งในเรื่องข้อมูล ข้อเสนอที่คู่เจรจาจะได้รับ และทักษะการพูดที่สามารถทำให้อีกฝ่ายคล้อยตามได้ เหล่านี้จะนำมาสู่การพูดคุยที่จบด้วยการปิดดีลระหว่างทั้งสองฝ่าย

อยากทำธุรกิจควรรู้ ผลสำรวจ SME ทั่วโลกกับสถิติที่น่าสนใจที่ไม่ควรพลาด

สำหรับใครที่อยากเริ่มต้นทำธุรกิจ ข้อมูลสำคัญที่สามารถนำมาประกอบใช้ได้นั่นคือผลสำรวจ หรือผลการวิจัย ที่มีระเบียบการศึกษามาเป็นอย่างดี แน่นอนว่าข้อมูลเหล่านี้จะทำให้ผู้ประกอบการ SME สามารถเตรียมตัว พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น Smartsme จะพามาดูสถิติที่น่าสนใจของ SME ทั่วโลก ว่ามีเรื่องอะไรที่น่าสนใจบ้าง 1.มีผู้ประกอบการประมาณ 582 ล้านคนบนโลกนี้ ตามรายงานของ Global Entrepreneurship Monitor พบว่าผู้ประกอบการทั่วโลกเพิ่มขึ้นทุกวัน สอดคล้องกับข้อมูลของ Financial Times ชี้ให้เห็นว่าการแพร่ระบาดได้กระตุ้นให้เกิดการเริ่มต้นธุรกิจเพิ่มขึ้นทั่วทั้งเศรษฐกิจหลัก เช่น สหรัฐฯ มีการยื่นขอประกอบธุรกิจเพิ่มขึ้น 95% ในปี 2020, ฝรั่งเศส ผู้ประกอบการหน้าใหม่เพิ่มขึ้น 20% และญี่ปุ่นยอดจดทะเบียนธุรกิจเพิ่มขึ้น 14% จากเดือนเดียวกันในปี 2562 2.ธุรกิจขนาดเล็กคิดเป็น 90% ของบริษัททั่วโลก ตามรายงานของ World Bank พบว่าผู้ประกอบการ SME เป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจโลก โดยคิดเป็น 90% ของธุรกิจของโลก และเกิดการจ้างงานคิดเป็น 50% ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม World […]

ทฤษฎี 21 วัน กับ 12 ข้อ ปรับตัวเพื่อความสำเร็จ

ทฤษฎี 21 วัน คือ ทฤษฎีที่อธิบาย ถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกกรรมของมนุษย์ โดยสาระสำคัญที่ ดร. แมคเวล มอลท์ (Dr.MaxwellMaltz) เขียนไว้ในหนังสือ Psycho-Cybernetics ว่า“ ‘การกระทำ’ จะตกผลึก กลายเป็น ‘นิสัย’ โดยกระทำต่อเนื่องอย่างน้อย 21 วัน บนพื้นฐานความเชื่อว่าเราจะเป็นไปได้ และมีสติในการลงมือทำกระทำ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ปรารถนาการเติบโตขึ้นในหน้าที่การงาน ในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนฝูง ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน หรือในทุกพื้นที่ที่คุณต้องการ หลักการง่าย ๆ คือ คุณเพียงแค่เขียนถึงสิ่งที่คุณต้องการขึ้นมา และระบุลงไปให้ชัดว่าการกระทำใดจะทำให้คุณไปถึงในจุดที่คุณต้องการ จากนั้นเชื่อว่ามันเป็นไปได้ และลงมือทำตามนั้นต่อเนื่อง 21 วัน … คุณก็จะเป็นและได้ตามนั้น … จงเชื่อว่ามัน ‘เป็นไปได้’ แล้วมันจะ ‘เป็นไปได้’ ส่วนสำหรับคุณที่ต้องการประสบความสำเร็จในธุรกิจ และ/หรือ ต้องการเติบโตในหน้าที่การงาน นำแนวทางการปรับปรุงนี้ไปปฏิบัติต่อเนื่อง 21 วัน แล้วคุณจะพบว่าทุกอย่างจะราบรื่น และผลงานจะค่อย ๆ ดีขึ้น จนคุณจะเสพติดนิสัยเหล่านี้ไปโดยอัตโนมัติ […]

ทำก่อนที่จะสาย! แต่ละวัยต้องวางแผนการเงินอย่างไร

การวางแผนทางการเงิน เปรียบเสมือนการวางแผนอนาคต ความจริงไม่ว่าจะวัยไหนก็ควรวางแผนการเงิน โดยเฉพาะในวัยเด็ก การปลูกฝังให้เด็กรู้จักการวางแผนทางการเงินแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้ในอนาคตเด็กคนนั้นจะกลายเป็นผู้ที่รู้จักบริหารจัดการตนเองได้ และอาจกลายเป็นเถ้าแก่น้อย ตั้งแต่อายุยังไม่มากได้เลยทีเดียว 1.วัยเด็ก วัยเด็กเป็นวัยที่ควรปลูกฝังให้มีนิสัยการใช้เงินอย่างสมเหตุสมผล การสอนให้เด็กรู้จักวางแผนทางการเงินแต่เนิ่น ๆ จะทำให้เด็กรู้จักค่าของเงิน เป็นพื้นฐานที่จะส่งผลที่ดีต่อการดำเนินชีวิตในอนาคต กลายเป็นผู้ที่รู้จักบริหารจัดการตนเองได้ และอาจเป็นเถ้าแก่น้อย ตั้งแต่อายุยังไม่มากได้เลยทีเดียว 2.วัยทำงาน วัยทำงานเป็นวัยที่เริ่มมีเงินใช้เป็นของตนเอง และมีโอกาสตามกระแสสังคมมาก ส่งผลให้หลายคนเกิดปัญหาการใช้เงินเกินตัว และก่อให้เกิดปัญหาหนี้สินตามมามากมาย ดังนั้นหากไม่มีการวางแผนทางการเงินที่ดี ก็อาจจะเป็นปัญหาต่อไปในอนาคตเลยก็ว่าได้ 3.วัยสร้างครอบครัว ในช่วงวัยของการสร้างครอบครัว เป็นวัยที่ต้องมีความรับผิดชอบสูง เนื่องจากมีสมาชิกในครอบครัวที่ต้องดูแล จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องวางแผนทางการเงินอย่างรัดกุม ให้เพียงพอต่อรายจ่ายประจำในแต่ละเดือน 4.วัยเกษียณ ในวัยเกษียณแม้จะมีภาระทางการเงินที่น้อยลงแล้ว แต่ยังมีความจำเป็นต่อทำการวางแผนทางการเงินอยู่ เพื่อไม่ให้ตนเองกลายเป็นภาระของลูกหลาน เนื่องจากคนวัยนี้ส่วนใหญ่จะมีรายรับน้อยลง แต่รายจ่ายในด้านการดูแล รักษาสุขภาพกลับมีแนวโน้มสูงขึ้น ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงวัยใด การวางแผนทางการเงินก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ เพราะนอกจากจะมีเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉินแล้ว คุณยังอุ่นใจได้อีกว่า ตนจะไม่กลายเป็นภาระของผู้ใด และยังมีเงินเก็บสำรองสำหรับคนที่คุณรักไว้ใช้ในอนาคตต่อไปอีกด้วย

5 นิสัยของเหล่ามหาเศรษฐีที่คุณควรทำตาม

ใครๆ ก็อยากจะเป็นเศรษฐีกัน คุณเองก็เป็นหนึ่งในนั้น หลายต่อหลายครั้งที่เรานำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับนิสัยของบรรดาคนร่ำรวยทั้งหลาย แต่บางเรื่องก็ดูจะไกลเกินไปที่จะทำตาม เพราะดูเหมือนว่าต้นทุนของพวกเขามีมากกว่า หรือที่หลายคนมักจะบอกว่าพวกเขาไม่ได้เริ่มจากศูนย์ แต่สิ่งที่เรานำมาฝากกันวันนี้เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ทำได้ ขอเพียงตั้งใจจริง นี่คือนิสัยที่คุณควรจะทำตาม 5 นิสัยเศรษฐีที่คุณควรทำตาม 1.ขับรถมือสอง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนิสัยข้อนี้อ้างอิงจากหนังสือ The Millionaire Next Door โดย Thomas Stanley ที่บอกว่าคนรวยมักจะใช้รถยนต์ที่มีอายุ 2 ปีขึ้นไป ด้วยเหตุผลที่ว่าถ้าคุณซื้อรถใหม่ราคาของมันจะสูงมาก และทำให้เกิดหนี้สินระยะยาวถ้าคุณไม่ได้ซื้อมันด้วยเงินสด แต่ถ้าเป็นรถมือสองราคาของมันจะถูกลงมากมาย และมันจะถูกจนอยู่ในระดับที่คุณสามารถซื้อมันได้ด้วยเงินสด งานนี้ได้ของดีแถมยังไม่ต้องมีหนี้สินระยะยาว 2.สร้างรายได้จากช่องทางที่หลากหลาย นิสัยข้อนี้เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุด การเพิ่มรายได้ของคุณในช่องทางที่หลากหลายนั้น ยุคสมัยนี้เป็นอะไรที่สามารถทำได้ง่ายมาก รายได้จากการเขียน e-book, blog และบทความ เป็นงานที่คุณทำได้หลังจากเลิกงานประจำ นี่ยังไม่รวมอาชีพอิสระอย่างการขับ Uber และการเป็น Coach ให้ความรู้ในเรื่องต่างๆ ที่ใครๆ ก็สามารถเป็นได้ ด้วยการสร้างช่องทางรายได้ที่หลากหลายคุณไม่เพียงทำให้คุณสร้างรายได้พิเศษเท่านั้น แต่คุณยังสามารถปกป้องตัวเองได้หากมีบางสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับรายได้หลักของคุณ 3.ให้เงินออมทำงานให้คุณ เรื่องนี้มีการพูดถึงบ่อยมาก แต่ก็เหมือนจะเป็นเรื่องที่ยากมากเช่นกัน วิธีที่ง่ายที่สุดในเรื่องนี้ก็คืออย่างน้อยที่สุดก็ให้เงินออมของคุณอยู่ในบัญชีที่มีดอกเบี้ยสูงที่สุด และโปรดจำเอาไว้ว่านี่คือเงินออม มีเอาไว้เพื่อสะสมไม่ใช่เงินเพื่อการลงทุน เมื่อเวลาผ่านไปเงินออมของคุณจะเติบโตขึ้นจนน่าตกใจ […]

5 เทคนิคที่จะช่วยให้คุณมีรายได้มากกว่างานประจำ

สิ่งที่คุณกำลังจะได้อ่านต่อจากนี้คือเคล็ดลับของ Luisa Zhou ผู้สร้างระบบ Employee to Entrepreneur ซึ่งใช้ในการให้ความรู้กับผู้คนถึงวิธีที่จะออกจากงานประจำของพวกเขา แล้วเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง 1.ลบทิ้ง-มอบหมาย-ทำเอง นี่คือหนึ่งในเคล็ดลับการสร้างความสำเร็จของเธอ เธอจะเริ่มต้นจากการเขียนสิ่งที่เธอกำลังจะทำในแต่ละวันขึ้นมา จากนั้นก็จัดลำดับความสำคัญ งานไหนที่ไม่จำเป็นต้องทำก็ให้ลบทิ้ง งานไหนที่มีคนทำแทนได้ก็ให้มอบหมาย และสุดท้ายก็จะเหลืองานที่เธอจะต้องทำเองจริงๆ หากคุณลองทำคุณจะพบว่ามันเหลืองานที่คุณจะต้องทำจริงๆ น้อยมาก นั่นหมายความว่าคุณจะมีเวลาเพิ่มขึ้นสำหรับเอาไปทำเรื่องสำคัญมากขึ้นแล้ว 2.ใช้ประโยชน์จาก “เวลาว่าง” ในหนึ่งวันหากคุณพิจารณาอย่างแท้จริงแล้วคุณจะพบว่า มีช่วงเวลาว่างระหว่างกิจกรรมต่างๆ ที่คุณจะต้องทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่ใช้รออาหารในแต่ละมื้อ เวลาที่ใช้ในการรอขณะเดินทาง หรือแม้แต่ระหว่างรอรับการตรวจที่โรงพยาบาล เธอใช้เวลาเหล่านี้ไปกับการเรียนรู้หลักสูตรใหม่ๆ ทำการตอบอีเมลของลูกค้า และใช้ในการสร้างเนื้อหาสำหรับโซเชียลมีเดีย คุณเริ่มจะเห็นความสวยงามของเวลาว่างบ้างแล้วหรือยัง 3.ทำงานให้เข้ากับจังหวะชีวิตของคุณ หลายคนบอกว่าเคล็ดลับการเพิ่มผลผลิตการทำงานคือการตื่นแต่เช้า เพราะซีอีโอของบริษัทใน Fortune 500 ล้วนแล้วแต่ทำกัน แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่ได้เหมาะกับทุกคน เธอเองรู้ตัวดีว่าเธอเป็นพวกนอนดึกและทำงานได้ดีในช่วงดึก ดังนั้นเธอจึงออกแบบให้ตัวเธอทำงานสำคัญในช่วงเวลาที่เธอพร้อมเท่านั้น คุณต้องรู้จักตัวเองก่อนว่าช่วงเวลาไหนที่คุณทำงานได้ดีที่สุด ช่วงเวลาไหนที่ทำได้แค่งานง่ายๆ 4.ทำตามตารางเวลาที่คุณคิดมาแล้ว ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายแต่เชื่อหรือไม่ว่า ทุกวันนี้คุณก็ยังคงปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปวันๆ เธอแนะนำว่าการวางแผนการใช้เวลาเป็นสิ่งสำคัญ เพราะคุณรู้ว่าใน 1 วันคุณมีเวลาช่วงไหนเพื่อทำอะไร ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่คุณกำหนดเอาไว้ว่าจะทำอะไร ก็เพียงแค่ลงมือทำตามที่กำหนดไว้ทันที อย่าเสียเวลาเตรียมตัวหรือเสียเวลาคิด เพราะคุณคิดมาเสร็จเรียบร้อยแล้วว่าเวลาช่วงนั้นๆ คุณจะต้องทำอะไร 5.กำหนดเป้าหมายแล้วทำสิ่งที่สนับสนุนเป้าหมายเท่านั้น […]

6 เหตุผล ที่ทำให้พนักงานส่วนใหญ่ทยอยลาออกไปจากคุณ

การลาออกหรือการย้ายงานนั้นเป็นเรื่องปกติในการทำงาน ซึ่งทุกองค์กรต้องเผชิญกับปัญหานี้อยู่แล้ว แต่จะมากหรือน้อยคือสิ่งที่คุณต้องคอยวิเคราะห์กันอีกทีหนึ่ง เพราะอัตราการลาออกที่มากเกินไป นั่นอาจหมายถึงปัญหาภายในองค์กรที่คุณมองข้าม และทำให้พนักงานรู้สึกไม่สบายใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การดูแลและสภาพแวดล้อมในปัจจุบันของคุณ ดังนั้นถ้าคุณไม่อยากประสบปัญหาพนักงานลาออกบ่อยๆ ต้องเทรนคนใหม่อยู่ตลอดเวลา 6 เหตุผลนี้เองที่จะช่วยให้คุณปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมองค์กรให้ดีขึ้นและน่าอยู่มากขึ้นกว่าเดิม 1.ให้คนคนเดียวดูแลงานมากเกินไป พนักงานที่น้อยอาจจะลดต้นทุนให้กับองค์กรของคุณในการจ้างงานได้ แต่ในทางกลับกันหากคุณต้องแลกมาด้วยปัญหาของการต้องรับสมัครคนใหม่บ่อยๆ และต้องเทรนกันตลอดเวลา 3 เดือนที แบบนี้อาจจะไม่คุ้มกันก็ได้ เพราะการที่พนักงานน้อยและพวกเขาต้องทำงานเยอะ จะทำให้เกิดความรู้สึกไม่คุ้มค่ากับการทำงาน พนักงานจะหมดไฟ และทำไม่ไหวจนส่งผลต่อสุขภาพจิตใจ และสภาพร่างกาย ซึ่งสุดท้ายก็เป็นเหมือนการบีบให้เขาลาออกด้วยตัวคุณเอง ดังนั้นถ้าไม่อยากปวดหัวเรื่องการหาพนักงานใหม่อยู่เสมอ ก็พยายามแบ่งเบาภาระงานให้เหมาะสมด้วยดีที่สุด 2.เงินเดือนต่ำเกินไป รู้สึกไม่คุ้มค่า เงินเดือน มีผลต่อการทำงานของพนักงานคนหนึ่งมากที่สุดแล้ว เพราะการทำงานเราย่อมหวังผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับแรงและเวลาที่ลงทุนไป ซึ่งการเพิ่มเงินเดือนเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ทำให้พนักงานอยากจะอยู่กับองค์กรของคุณตลอดเวลา แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เขารู้สึกว่าเงินเดือนที่คุณให้มันน้อยเกินไป การจะมองหาทีใหม่ก็เป็นทางออกที่เหมาะสม ซึ่งถ้าคุณไม่อยากประสบปัญหาต้องคอยรับสมัครพนักงานบ่อยๆ การเพิ่มเงินเดือนจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างได้ผลแน่นอน 3.สวัสดิการไม่ตอบโจทย์ นอกจากเงินเดือนแล้ว ตัวพนักงานเองก็อยากจะได้สวัสดิการที่ตอบโจทย์อย่างเหมาะสม เพราะนี่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะ ทำให้องค์กรนั้นน่าสนใจและควรคู่แก่การร่วมงาน ซึ่งสวัสดิการที่พนักงานชื่นชอบส่วนมากจะเป็นในเรื่องของค่าเดินทาง ค่าล่วงเวลา วันหยุดเพิ่มเติม การทำงานนอกสถานที่ การยืดหยุ่นในเวลาทำงาน ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้พนักงานรุ่นใหม่สะดวกสบายและรู้สึกดีกับการทำงานในองค์กรของคุณ แต่กลับกันถ้าคุณเอาเปรียบเขา ไม่ให้เงินล่วงเวลา บังคับให้มาทำงานตรงเวลาเสมอ ไม่สนใจผลของงาน ดูแค่ว่าเขามาสายแค่ไหนอย่างเดียว แบบนี้พนักงานจะรู้สึกไม่แฟร์ และมองว่าองค์กรของคุณไม่ใช่องค์กรในแบบที่เขาต้องการ 4.ไม่มีโอกาสเติบโตเลย การเติบโตในหน้าที่การงานเป็นหนึ่งในสิ่งที่พนักงานเงินเดือนฝันใฝ่ […]

7 นิสัยดีของคนขี้งก ที่น่าทำตาม

คนขี้งกเป็นการจัดประเภทให้กับคนกลุ่มหนึ่งที่มีความสามารถพิเศษในการเลือกที่จะประหยัดได้ในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้เงิน การใช้สิ่งของ และอื่นๆ อีกสารพัด บางเรื่องก็แลดูมีเหตุผล บางเรื่องก็ดูเหมือนจะมากเกินไป วันนี้เราจะมาเรียนรู้นิสัยดีๆ ของคนประเภทนี้กัน รับรองว่าถ้านำไปใช้แล้วชีวิตพวกเราจะยืนยาวขึ้น โดยเฉพาะช่วงใกล้สิ้นเดือน นิสัย 7 ประการที่ดีของคนขี้งก 1.แบรนด์เนมเหรอเมินซะเถอะ ทุกวันนี้คนเราก็หลงไปกับแบนด์ของสินค้ากันแบบไม่ลืมหูลืมตา หลายครั้งที่เราหมดเงินไปกันสินค้าที่ไม่ได้จำเป็นกับชีวิตเราเลย แต่ขอให้ได้มีแบรนด์นี้มาใช้ก็จะรู้สึกดี คนขี้งกไม่สนใจเรื่องของแบรนด์เลย เรื่องจะให้ซื้อของเพราะเป็นแบรนด์เนมนั้น ไม่มีวันจะเกิดขึ้น 2.ไม่ใช้เงินเพื่อซื้อความสุข พวกเขาก็เหมือนคนทั่วๆ ไปที่อยากจะได้จิบกาแฟอุ่นๆ ในตอนเช้า แต่พวกเขารู้จักเลือกที่จะชงกาแฟกินเอง มากกว่าที่จะเดินเข้าสตาร์บัคส์เพื่อดื่มกาแฟที่แพงกว่าที่บ้านถึง 5 เท่า ใช้เงินแบบสมเหตุผลแบบนี้ มันก็น่าเอาอย่างอยู่นะ 3.ไม่ทิ้งให้เสียของ พวกเขามักจะสนใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเรื่องของการใช้ยาสีฟัน แชมพู และสบู่ พวกเขาจะใช้ทุกอย่างในปริมาณที่พอเหมาะกับตัวเท่านั้น ไอ้เรื่องใช้สบู่มากเหมือนล้างพื้นห้องน้ำนั้น ลืมไปได้เลย เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ดูแลจริงจังก็ช่วยเราประหยัดได้ไม่น้อย 4.วางแผนในการซื้อของใช้ พวกเขามีการวางแผนในการซื้อของใช้ที่ละเอียดมาก ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของกระดาษชำระ เมื่อห้างใหญ่มีการลดราคากระดาษ พวกเขาจะซื้อในจำนวนมากในระดับใช้ได้เป็นเดือนเป็นปีกันเลยทีเดียว เพราะมันจะทำให้พวกเขาประหยัดเงินได้ไม่น้อย เมื่อเทียบกับการต้องวิ่งไปซื้อทีละม้วนจากร้านสะดวกซื้อปากซอย ซึ่งราคาสูงกว่ามาก 5.เลือกใช้สินค้ามือสอง เมื่อมีความต้องการสินค้าอะไรสักอย่าง พวกเขามักจะเริ่มต้นค้นหาในเว็บไซต์ขายสินค้ามือสองก่อนที่อื่น เพราะในนั้นส่วนมากจะมีสินค้าดีๆ […]

7 นิสัยไม่ดีที่คุณต้องตัดออกไปจากชีวิต พร้อมเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่

ตัวเราเป็นส่วนผสมที่เกิดขึ้นจากนิสัยของเราเอง หากเรายอมให้นิสัยไม่ดีเข้าครอบงำพวกเราก็จะถูกขัดขวางไม่ให้เข้าใกล้ความสำเร็จ ความท้าทายคือนิสัยไม่ดีเหล่านี้มีความสามารถในการคืบคลานเข้าหาเราอย่างช้าๆ จนเราไม่ทันสังเกตเห็นความเสียหายที่เกิดขึ้น การทำลายนิสัยไม่ดีเหล่านี้ต้องออกแรงในการควบคุมตัวเองอย่างมากมาย แต่มันก็คุ้มค่าที่จะลงมือทำ เคล็ดลับของเรื่องนี้อยู่ที่ความมีวินัยในการควบคุมตนเอง ส่วนจะเป็นการควบคุมเรื่องใดบ้างมาดูกัน 1.เล่นมือถือบนเตียงนอน นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ตระหนักถึงอันตรายต่อการนอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพของพวกเขา แสงสีน้ำเงินความยาวคลื่นสั้นจากหน้าจอเป็นแสงแบบเดียวกันกับแสงแดดในตอนเช้า เมื่อดวงตาของคุณสัมผัสกับมันโดยตรงแสงสีฟ้าจะหยุดการสร้างเมลาโทนินฮอร์โมนที่ช่วยในการนอนหลับ การเล่นอุปกรณ์ที่มีแสงสีฟ้ามันจะทำให้คุณรู้สึกตื่นตัวเหมือนตอนตื่นนอนทั้งๆ ที่ควรจะเป็นเวลาเข้านอน ดังนั้นควรงดใช้อุปกรณ์ที่มีหน้าจอส่องสว่างตั้งแต่หลังอาหารมื้อเย็นเป็นต้นไป เพื่อคุณภาพการนอนที่ดีของคุณ 2.เข้าโซเชียลทุก 5 นาที คนเราจะใช้เวลาประมาณ 15 นาทีในการดึงสมาธิให้เข้าสู่การทำงานใดๆ ได้อย่างเต็มที่ หลังจากนั้นจึงจะสามารถโฟกัสกับงานชิ้นนั้นได้อย่างต่อเนื่อง ช่วงเวลานั้นจะกลายเป็นช่วงเวลาของการทำงานที่ดีที่สุดไปเรื่อยๆ จะกว่าจะมีสิ่งเร้าอื่นมาดึงคุณออกจากงานที่คุณกำลังโฟกัส ดังนั้นคนที่เอาแต่คลิกอ่านข่าว เล่น Facebook และเช็คผลบอล ทุกๆ 5 นาทีไม่มีทางที่จะทำงานได้ดี เพราะคุณจะไม่สามารถโฟกัสเรื่องใดๆ ในชีวิตได้เลย 3.เอาแต่ดูหน้าจอโทรศัพท์ระหว่างการสนทนา ไม่มีอะไรจะเป็นการเสียมารยาทมากกว่าการที่เอาแต่เหลือบตามองดูหน้าจอมือถือ ในขณะที่กำลังทำการสนทนากับผู้อื่นอยู่อีกแล้ว เพราะนั่นเป็นการแสดงออกที่ชัดเจนว่าคุณไม่ได้ให้ความสนใจกับคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าของคุณเลย ครั้งต่อไปไม่ว่าจะกำลังคุยกับใครก็ตาม ให้วางหรือเก็บโทรศัพท์มือถือของคุณออกไปให้พ้นหูพ้นตาก่อนเป็นอันดับแรก 4.ตอบสนองทุกครั้งที่มีการแจ้งเตือน ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ให้การตอบสนองต่อทุกการแจ้งเตือนบนหน้าจอแล้วละก็ คุณจะเป็นคนที่มีผลผลิตในการทำงานที่ต่ำที่สุด เพราะคุณจะไม่สามารถโฟกัสงานของคุณได้เลย หากเอาแต่คอยอ่านอีเมลที่ฉบับที่มีการแจ้งเตือนเข้ามา เปิดดูทุกข้อความจากไลน์ นี่ยังไม่รวมโซเชียลมีเดียตัวอื่นๆ ซึ่งการตอบสนองแบบนี้มันมีแต่จะทำให้ผลงานของคุณตกต่ำลง เปลี่ยนมาเป็นทำการตรวจเช็คการแจ้งเตือนตามช่วงเวลาที่กำหนดดีกว่า 5.เอาแต่พูดว่า “ใช่” ทั้งที่ใจบอกว่า “ไม่” เราต้องหัดให้ตัวเองเป็นคนที่มีความชัดเจน […]

7 วิธีเอาตัวรอดให้ได้ช่วงปลายเดือนตามแบบฉบับมนุษย์เงินเดือน

มนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย ใครใช้เงินเป็น ใช้ได้ใช้ดี ใช้จนชักหน้าแทบจะไม่ถึงหลังซะทุกที ยกมือขึ้น!!! ก็เพราะค่าครองชีพมันสูง รายจ่ายมันเยอะ ไหนจะผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนคอนโด จ่ายบัตรเครดิต ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอะไรต่างๆ นานา นอกจากนี้ อาจจะมีช่วงกระเป๋าเงินในมือสั่น ทำลั่นไปกับการช้อปปิ้ง ดูหนังฟังเพลง เดินห้างฯ นั่งกินบุฟเฟ่ต์ และอีกมากมายจนรายจ่าย ทะลุรายรับไปซะไกล วันนี้เราขอนำเสนอ How To กู้ชีวิต พิชิตเศรษฐกิจช่วงปลายเดือนด้วย 7 วิธีเหล่านี้ ลองเอาไปทำตามกันดู 1.งดกินข้าวนอกบ้าน เพราะกะเพราไก่ สตาร์ท ที่ราคาเฉลี่ยจานละ 40 แถมจะให้อร่อยต้องกินคู่ไข่ดาว เช็คบิลมา ปาไป 45-50 นี่แหล่ะน้าชีวิตดาว ชาวกรุง นี่ยังไม่รวมถึง บางวันอยากจัดหนัก สั่งกะเพราทะเล ใส่ กุ้งเอย ปลาหมึกเอย ราคาเลย ไป 60-70 บาท ฉะนั้น ปลายเดือนแบบนี้ แนะนำให้เซฟตี้ด้วยการกินข้าวบ้าน […]

กลยุทธ์การปรับราคาสินค้า เพื่อให้ลูกค้ายอมรับ ไม่หนีหาย

เศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องมีการปรับราคาสินค้า หรือบริการของตนเองไปด้วย เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจให้สามารถดำเนินต่อไปได้ แต่ก็มีหลายปัจจัยที่ทำให้ผู้ประกอบการเกิดความกังวล ไม่ว่าจะเป็นการเกรงว่าลูกค้าจะลดคำสั่งซื้อ หรือหันไปสั่งซื้อสินค้าจากคู่แข่ง กลยุทธ์การปรับราคาสินค้า เพื่อให้ลูกค้ายอมรับ เป็นทริคง่าย ๆ ที่ผู้ประกอบการสามารถนำไปใช้ได้ในหลาย ๆ ธุรกิจ ทั้งนี้การปรับเพิ่มราคาอาจดูเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาทั่วไปที่ใคร ๆ เขาก็ทำ หากแต่การปรับตัวเลขของราคาสินค้า หรือบริการนั้นมีผลต่อความรู้สึกของลูกค้า ซึ่งค่อนข้างเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จึงขอนำเสนอ กลยุทธ์การปรับราคาสินค้า เพื่อให้ลูกค้ายอมรับ ง่าย ๆ ดังนี้ 1. อย่าเปลี่ยนราคาที่อยู่ซ้ายสุดของราคาสินค้า ตัวอย่างเช่น สินค้าราคาเดิมอยู่ที่ 155 บาท ผู้ประกอบการควรปรับราคาเพิ่มเป็น 159 จะทำให้ลูกค้ารู้สึกดีกว่า การปรับเป็น 160 บาท 2. แยกเก็บค่าธรรมเนียม หรือค่าบริการเสริม เพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นราคาโดยตรง เช่น การขึ้นราคาสินค้าจาก 49 บาท เป็น 55 บาท จะส่งผลต่อความรู้สึกของผู้ซื้อมากกว่าคงราคาเดิมที่ 49 และเก็บค่าบริการจัดส่งเพิ่มอีก 6 บาท 3. […]

ไม่สนิทกัน ไม่บอก 4 เทคนิคสร้างยอดขายผ่าน TikTok เพื่อสร้างยอดขายถล่มทลาย

อย่างที่ทราบดีว่า นาทีนี้แอปฯ ตัวแรงอย่างการโพสต์คลิปวิดีโอสั้น ๆ แต่ดึงดูดการเข้าชมได้อย่างมหาศาลด้วยการใส่ลูกเล่น เอฟเฟคต์ต่าง ๆ ได้หลากหลาย คือเหตุผลที่ทำให้ TikTok ได้รับความนิยม และเป็นที่สนใจของคนไทยทั้งประเทศ รวมถึงแบรนด์ดังต่าง ๆ ด้วย ซึ่งหากคุณสามารถสร้าง Account ของตัวเองขึ้นมาเพื่อทำ TikTok แบรนด์ตัวเองให้น่าสนใจ และเป็นไวรัลได้ ก็จะสร้างยอดขายได้แบบถล่มทลายตามมา วันนี้ Smart SME มี 4 เทคนิคการสร้างยอดขายผ่าน TikTok เหล่านี้มาฝากกัน 1.ให้คนทำความรู้จักผ่าน Bio ในแอป TikTok นั้นเมื่อคุณสร้างแอคเคาท์ขึ้นมา จะสามารถเพิ่มเติมเรื่องราวเกี่ยวกับตัวคุณได้ผ่านช่องทาง Bio ที่ให้คุณเขียนเกี่ยวกับตัวเอง อยากให้คนอื่นรู้จักคุณในแบบไหนก็ทำได้เช่นกัน ซึ่ง Bio นี้สามารถแนบลิงก์ต่างๆ ได้ จึงเป็นเหมือนจุดแข็งที่ดีที่จะแนบลิงก์เว็บไซต์ หรือเพจ เพื่อให้คนรู้จักตัวตนของธุรกิจคุณมากขึ้น 2.สอดแทรกประโยชน์พร้อมความบันเทิง อะไรที่หนักไปใน TikTok มักจะไม่ได้รับความนิยม เพราะคนส่วนใหญ่เข้ามาใช้งานแอปพลิเคชันเพื่อคลายเครียด และสร้างเสียงหัวเราะกลับไป ดังนั้นหากคุณอยากจะนำเสนอสินค้าให้ครีเอตคอนเทนต์อย่างสร้างสรรค์ และพยายามใช้ฟิลเตอร์ เสียง […]

บอกเทคนิคปฏิเสธอย่างไร ไม่ทำให้เรารู้สึกแย่

คนไทยเป็นคนขี้เกรงใจมักใจอ่อนปฏิเสธคนอื่นไม่เป็น ก็คงจะไม่เป็นไรหากความเกรงใจเหล่านั่นจะไม่ได้ทำให้เรารู้สึกแย่หรือเดือดร้อน แต่การจะบอกปัดอย่างแข็งกระด้างก็คงไม่ดี ดังนั้นมาดูวิธี ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล จนเกิดความคุ้นชินกันดีกว่า ความเกรงใจ แบ่งออกเป็นสองประเภทคือ ความเกรงใจเพราะใส่ใจ กับ ความเกรงใจเพราะเกรงกลัว ต่างกันตรงที่ หากเราคิดถึงคนอื่นนั่นคือความเกรงใจ แต่หากเราคิดถึงแต่ตัวเองนั่นคือความเกรงกลัว 1. สิ่งที่เราพูดไม่สำคัญเท่าวิธีที่เราพูด เช่นระหว่างการถูกโยนทองคำใส่หน้า กับการได้รับเหรียญห้าบาทพร้อมคำพูดที่มีความหมายดีๆ คุณชอบวิธีไหนมากกว่ากัน คนส่วนใหญ่มักจะชอบการได้รับ มากกว่าการถูกกระทำ แม้ว่ามูลค่าของสิ่งของที่ได้มาจะต่างกันก็ตาม 2. ปฏิเสธแต่เสนอสิ่งที่เทียบเท่าหรือดีกว่ากลับไป 3. มีศิลปะในการพูด มีทักษะในการโน้มน้าวเช่น เข้าไปหาในเชิงการขอคำปรึกษา บอกเล่าปัญหาหรือปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เราไม่สามารถตอบตกลงกับเขาได้ แล้วลองขอคำปรึกษาว่าเราควรทำอย่างไรดี 4. อย่าลืมให้เหตุผล อย่าตอบปฏิเสธแบบห้วนๆ โดยเด็ดขาด ยกเว้นว่าอยากจะตัดขาดกับคนที่เราปฏิเสธ 5. มองตา สัมผัสตัว หรือยิ้มให้ สุดท้ายคือการฝึกเพื่อให้เกิดความเคยชิน และปฏิเสธได้อย่างเป็นธรรมชาติ และฝากไว้ว่าการปฏิเสธคนอื่น เท่ากับการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้มีเวลามากขึ้น หรือได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการหรือจำเป็นมากขึ้นนั่นเอง ขอบคุณข้อมูล : คุณขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร นักจิตวิทยาด้านสมอง

1 … 3 4 5 … 73