ความไว้เนื้อเชื่อใจ สำคัญต่อการสร้างทีม


อาจารย์วาจาสิทธิ์ ลอเสรีวานิช วิทยากรหลักสูตร เอ็นเนียแกรม ให้กับองค์กรต่างๆ มากกว่า 600 รุ่น เผยถึงความไว้วางใจ ที่เป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ของการทำงานร่วมกัน โดยอ้างอิงจาก แพททริก เลนโชนี่ ที่ปรึกษาองค์กร และผู้หนังสือชื่อ The Five Dysfunctions of a Team โดยระบุว่าการขาดความไว้วางใจ (Lack of Trust) เป็นปัญหาอันดับ 1 ที่ทำให้ไม่สามารถทำงานเป็นทีมเวิร์คได้ ซึ่งเขาได้สรุปจากประสบการณ์การทำงานกับซีอีโอ และทีมผู้บริหารระดับสูง 

Trust ในแง่นี้ หมายถึงความไว้เนื้อเชื่อใจว่า เพื่อนร่วมทีมทุกคนไม่มีใครประสงค์ร้าย หรือคอยฉวยโอกาสหยิบยกจุดเปราะบางของคนในทีมมาโจมตี เลื่อยขาเก้าอี้ แทงข้างหลัง หรือเล่นการเมืองในรูปแบบต่างๆ ถ้ามีใครสักคนในทีม มีพฤติกรรมข้างต้น Trust ในทีมย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ หรือถึงจะไม่มี แต่บางคนในทีมก็อาจมองคนอื่นในแง่ร้ายไปเองก็เป็นได้

และเมื่อไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกันแล้ว แต่ละคนก็จะคอยปกป้องตัวเอง เพราะทุกคนล้วนมีจุดเปราะบาง จึงต้องคอยปกป้อง ระวังตัว ตามสัญชาติญาณพื้นฐาน

ถ้าคนในทีมไว้เนื้อเชื่อใจกันจริงๆ ก็จะไม่กลัวว่า จะมีคนที่มีเจตนาร้าย แต่ละคนก็จะกล้าพอที่จะเปิดเผยจุดเปราะบางของตน เช่น เมื่อทำผิดก็กล้ายอมรับ และเอ่ยปากขอโทษ มีจุดอ่อนเรื่องใด ก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองต้องคอยปกปิด ถ้าพูดหรือทำอะไรที่ไม่สมควร หรือเป็นผลเสียต่อทีม ก็กล้าขอโทษ และยังเกิดความสนิทสนมกัน จนรู้ถึงเรื่องราวชีวิตส่วนตัว และพูดคุยในเรื่องเหล่านี้ด้วย

ลองนึกถึง กลุ่มเพื่อนในสมัยเรียน อย่างชั้นประถม มัธยม มหาวิทยาลัย ป.ตรี ป.โท ฯลฯ นึกดูว่าเพื่อนกลุ่มไหนที่สนิทกันมากที่สุด คิดต่อว่า ที่เป็นอย่างนั้น เพราะเราเปิดเผยกันทุกเรื่อง แบบไม่ต้องรักษาหน้าตา หรือผลประโยชน์และรู้จักเรื่องส่วนตัวของกันใช่หรือไม่ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น

ที่จริง ความไว้เนื้อเชื่อใจกันมากๆ แบบนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่ต้องใช้เวลานาน หรือได้ร่วมทุกข์ร่วมสุข ฝ่าฟันปัญหาต่างๆ มาร่วมกันมา ตัวอย่างเช่น คนที่ร่วมงานกันมาตั้งแต่เริ่มก่อสร้างโรงงานอย่างลำบาก หรือสร้างผลิตภัณฑ์ชิ้นสำคัญของบริษัท หรือฝ่าฟันวิกฤติต่างๆ ขององค์กรมาด้วยกัน สถานการณ์เหล่านี้ ทำให้คนในทีมได้เปิดเผยตัวตน เปิดเผยจุดอ่อนต่อกัน จนเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกันนั่นเอง

ในทางกลับกัน หากมองถึงปัจจุบัน ที่องค์กรส่วนใหญ่ มักสรรหาผู้บริหารชั้นสูง จากภายนอกองค์กร ซึ่งอาจรู้จักกันไม่นานพอที่จะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจได้ แต่ก็เป็นธรรมดา ที่ทีมงานส่วนมากจะประสบปัญหานี้

ฉะนั้น เมื่อขาดความไว้เนื้อเชื่อใจกัน คนในทีมทุกคนจะคอยปกป้องตัวเอง รักษาหน้า หรือสงวนท่าที จนไม่กล้าแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์กับทีม ไม่กล้าขัดแย้งในเรื่องที่จะต้องถกเถียง เพื่อให้ได้คำตอบที่ดีที่สุดในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ขององค์กร

ปัญหาลูกโซ่ถัดไป คือการขาดความผูกมัดในงาน การขาดการตรวจสอบกัน และลงท้ายด้วยการปกป้องอีโกของตัวเองไปวันๆ โดยไม่สนใจในการบรรลุเป้าหมายขององค์กร