ในตอนนี้ผมขอขยับเข้าใกล้กิจการ SME เข้ามาอีกนิดหนึ่ง เป็นเรื่องของทรัพย์ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ผมเป็นนักกฎหมายไม่ใช่นักลงทุน ดังนั้น หากมองในแง่ของการลงทุนระหว่างการเช่าทรัพย์ กับ การซื้อทรัพย์ อย่างไหนจะดีกว่า ผมคงจะตอบได้ไม่ดีเป็นแน่ แต่หากมองในแง่ของนักกฎหมาย แน่นอน มันมีเรื่องภาษีเข้ามาเกี่ยวข้อง รวมทั้งเรื่องของการทำสัญญา ซึ่งมักจะวุ่น ๆ อยู่ ท่านผู้ประกอบกิจการ SME ก็คงจะไม่เจนจัดเหมือนผมเป็นแน่ เอาละครับขอพูดเรื่องการเช่าและการซื้อในแง่มุมของภาษีก่อน ท้ายสุดจะว่าเรื่องการทำสัญญา
เอาละเริ่มเรื่อง ท่านต้องพิจารณาวางแผนกิจการของท่านให้ดีก่อน เรื่องการเช่า หรือการซื้อนั้น มันมักจะดีกันคนละตอน กล่าวคือ การเช่าทรัพย์มักจะดีตอนเริ่มต้นประกอบกิจการ เช่น เช่าสถานประกอบการ เป็นต้น ไม่ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากในการลงทุนก็สามารถใช้สถานที่บุคคลอื่นทำกิจการ ค่าเช่าก็สามารถหักเป็นค่าใช้จ่ายได้อีกตอนเสียภาษี การบำรุงรักษาก็แล้วแต่จะตกลงกัน บางอย่าง เช่น เครื่องถ่ายเอกสาร รถยนต์ อย่างนี้เรามักจะไม่ต้องดูแลการบำรุงรักษา หากทรัพย์ที่เช่าชำรุด ก็เรียกผู้ให้เช่ามาเปลี่ยนเครื่องใหม่ เอาเครื่องคืนง่าย ๆ แต่อย่างว่าผลเสียก็มีบ้างเหมือนกัน เนื่องจากการเช่ามันมีราคาค่อนข้างแพง อาจถึงขนาดสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ไม่เหมือนการซื้อ หากเป็นสถานประกอบการ ก็จะทำให้เราประกอบกิจการได้อย่างมั่นคง การเช่า เราอาจถูกเจ้าของสถานที่ฮุบกิจการเราได้ เช่น กิจการล้างทำความสะอาดรถยนต์ เป็นต้น
แต่สำหรับเรื่องการซื้อทรัพย์นั้น แน่นอนว่าจะดูดีแน่ ๆ กิจการเราจะดูมั่นคงเป็นที่น่าเชื่อถือแก่บุคคลทั่วไป รวมถึงลูกค้าของเราด้วย แต่เรื่องสำคัญที่เราจะต้องผ่านให้ได้ ก็คือ เงินลงทุนจะต้องใช้จำนวนมาก และหากไปใช้เครดิตกับทางธนาคารพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารใด ส่วนใหญ่มักจะบังคับให้ผู้บริหารทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ นอกเหนือจากการเอาทรัพย์ที่ซื้อ เข้าจำนองด้วย ด้วยเหตุนี้ ในยุคแห่งดิจิตอล ผู้ประกอบการ SME ส่วนใหญ่ มักจะไม่ลงทุนซื้อทรัพย์กัน แต่ยอมที่จะเช่าเอามากกว่า แม้กำไรลดน้อยลง ก็ยังดีกว่าที่จะเอาตัวไปเสี่ยงกับสถาบันการเงินในเมืองไทย ที่คิดอ่านอาศัยกฎหมายเข้าเอารัดเอาเปรียบผู้ประกอบการอยู่เรื่อยไป แต่อย่างไรก็ดี การซื้อทรัพย์ ยังมีข้อดีอยู่บ้าง เช่น ขณะตอนสิ้นปีงบประมาณ หากผู้ประกอบ SME มีกำไรงาม หากไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ มาหัก กิจการของท่านก็ต้องเสียภาษีดังระงมไปเป็นแน่ ที่สำคัญในปีหน้าหากท่านไม่ทำกำไรรับรองเจอคำถามจากสรรพกรแน่ๆหากตอบไม่ชัดก็มีหวังโดนตรวจสอบแหลก ทางออก ก็คือ นำกำไรมาลงทุนซื้อทรัพย์สินไว้ก่อนการปิดงบดุล และยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี นั่นเอง
เรื่องสุดท้ายที่จะเข้าทางถนัดของผมก็คือ การทำสัญญา ไม่ว่าจะเป็นสัญญาเช่าหรือสัญญาซื้อขายก็ดี ต้องระมัดระวังเรื่องของผู้ทำสัญญา ดูให้ดี ๆ หากเป็นบุคคลธรรมดา ต้องตรวจดูบัตรประจำตัวประชาชนให้เรียบร้อย หากเป็นนิติบุคคล เช่น บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วน จะจำกัด หรือไม่จำกัด ก็ตาม ต้องตรวจดูหนังสือรับรองนิติบุคคลให้เรียบร้อย อย่าเกรงจง เกรงใจ กลัวว่าเขาจะโกรธเรา หาวาไม่เชื่อใจเขา แต่หากเชื่อใจเขา โดยไม่มีข้อมูล จะทำให้เราทำงานโดยไร้หลักการและทิศทาง ซึ่งจะเป็นหนทางนำไปสู่ความหายนะในอนาคต
ต่อจากการตรวจดูเอกสารแล้ว เรื่องรายละเอียดของสัญญา โดยสัญญาเช่า เราจะเน้นถึงระยะเวลาแห่งการเช่า เป็นสำคัญ สามารถทำสัญญาได้ 3 ปี หากเช่าเกินกว่า 3 ปี ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ที่สำนักงานที่ดิน ที่ที่ดินตั้งอยู่ ค่าเช่าเป็นรายเดือน และเรื่องการผิดสัญญา เช่น ผู้ให้เช่า มักจะไม่อนุญาตให้ผู้เช่านำทรัพย์ที่เช่าไปเช่าช่วง เราจะไม่พูดถึงกิจการไม่ชำระค่าเช่า แต่หากเป็นกรณีทำสัญญาไว้ 3 ปี แต่ผู้เช่า เช่าจริงเพียง 1 ปี มักจะถูกฟ้องเรียกค่าเสียหาย ซึ่งผู้เช่าต้องชดใช้แก่ผู้ให้เช่า เรื่องนี้ต้องระมัดระวัง ส่วนการซื้อขาย หรือทำสัญญาจะซื้อจะขาย ก็ต้องระบุทรัพย์ที่ซื้อขายคืออะไร ราคา การชำระราคา การผิดสัญญา เนื่องจากหากเกิดกรณีราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้น ผู้ขายมักจะไม่ขาย เพราะราคาถูกไปอย่างนี้ จึงต้องบังคับให้มีการทำสัญญาไว้นะครับ
เอาล่ะครับ สำหรับวันนี้คงจะพอเท่านี้ก่อน คงจะได้พบกันอีกในฉบับต่อไป ขอบคุณมากครับ
ทนายอำพล รัตนมูสิก