ถ้าจะถามว่าระหว่าง “คำชม” กับ “คำตำหนิ” คนทำงานทั่วไปอยากจะฟังคำไหนมากกว่า แน่นอนครับ ผมเชื่อว่าทุกคนก็ต้องเลือก”คำชม” เพราะรู้สึกว่าไพเราะเสนาะโสต ไม่เหมือน “คำตำหนิ”ที่ฟังแล้วจะรู้สึกระคายหู ไม่มีใครอยากฟังหรอก ต่างกันมากเลย
“คำตำหนิ”นี่ ฟังไม่ดีหรือฟังแบบหาเรื่องนี่ บางทีเปลี่ยนเป็น “คำด่า” ไปเลยนะ จะบอกให้ เพราะฉะนั้นเวลาต้องว่ากล่าวลูกน้องต้องระมัดระวังสำเนียง อย่าใช้อารมณ์ผสมเสียงนะครับ เดี๋ยวเรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องธรรมดาเป็นเรื่องพิเศษไปได้
อย่างไรก็ตาม ในการดูแลการทำงานของลูกน้องโดยคนระดับหัวหน้านั้น มักจะต้องให้ “คำตำหนิ”กับลูกน้องมากกว่า “คำชม” เพราะหน้าที่หัวหน้าคือการรักษามาตรฐานการทำงานของลูกน้อง บางคนจึงเลือกที่จะทักต่อเมื่อมีความเบี่ยงเบนจากที่ควรเป็น ถ้าทำได้ตามมาตรฐานก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร
หัวหน้าบางคนจึงไม่ให้ความสำคัญกับการชมเชยลูกน้องเลย ด้วยเห็นว่าการทำดีนั้นเป็นหน้าที่ของคนเป็นลูกน้องอยู่แล้ว เมื่อทำดีจึงเป็นเรื่องธรรมดาไม่เห็นต้องชมอะไร ชมไปก็ไม่ได้ดีกว่าเดิมเพราะดีอยู่แล้ว คิดอย่างนั้นจริง ๆ ลูกน้องจึงไม่ค่อยได้ยินคำพูดที่อยากได้ฟังจากคนเป็นหัวหน้า
แต่ถ้าทำอะไรไม่ดีหรือมีบกพร่อง อย่างนี้ปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่ตำหนิไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะเกิดการเสียการเสียงานมีความเสียหายเกิดขึ้นอีก เพราะฉะนั้นต้องตำหนิให้ได้ยิน จะได้มีการแก้ไขและเมื่อทำใหม่เรื่องนั้นอีกจะได้ไม่ผิดพลาดอีก บางทีก็ดังมากไปเพราะอยากให้คนอื่นได้ยินด้วยจะได้ไม่ต้องพูดหลายหน เป็นเหตุให้คนที่โดนมีความรู้สึกอัปยศมากขึ้น
เพราะฉะนั้น คนเป็นนายที่มีประสิทธิภาพจึงต้องสอดส่องดูแลเอาใจใส่ ไม่เป็นคนประเภท “เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ไม่เอาใจใส่งาน” เห็นลูกน้องคนใดทำงานไม่ได้ตามมาตรฐาน ต้องตำหนิให้รู้ตัวโดยทันที จะได้ระมัดระวังการทำงานไม่ให้ผิดแนว หรือถ้าออกนอกแนวไปแล้วก็จะได้กลับเข้าสู่แนว ไม่นอกลู่นอกทาง
ความคิดดังกล่าวข้างต้นถือแม้ไม่ถือว่าถูกต้อง แต่ก็เป็นเรื่องไม่ผิดหรอก สมควรที่คนเป็นนายต้องปฏิบัติ ยังไงก็ดีกว่าคนที่เป็นหัวหน้าแต่ไม่กล้าตำหนิลูกน้อง กลัวลูกน้องโกรธหรือไม่พอใจ ถ้าใครคิดอย่างนี้ขอแนะนำว่าอย่ารับตำแหน่งหัวหน้า ผมขอร้อง หัวหน้าที่ไม่กล้าตำหนิลูกน้องที่ทำงานไม่ได้มาตรฐาน ผมถือว่าเป็นหัวหน้าที่ขาดความรับผิดชอบครับ
แต่ไม่ได้หมายความว่า จะเอาแต่เอ่ยปากตำหนิหรือว่ากล่าวโดยไม่ให้ความสำคัญกับ “คำชม” เอาเสียเลย เพราะคำชมนั้นว่าไปแล้วก็เหมือนกับน้ำทิพย์ชโลมจิตใจคนได้รับให้สดใสมีกำลังใจในการทำงาน ที่สำคัญคือเกิดความรู้สึกที่ดีกับผู้ที่ให้คำชมกับเขา
คำขมที่ว่านี้เป็นคำชมในการทำงานนะครับ ไม่ใช่คำชมประเภทสายลมแสงแดดไม่ได้มีความหมายจริงจังอะไร เช่น “วันนี้ดูสดใสจริงนะ” “เจอคนหล่ออีกแล้ว” ชมอย่างนี้เป็นเรื่องของการหยอกเอินหรือทักทายมากกว่า ไม่ค่อยได้ผลทางจิตวิทยาที่จะเป็นพลังในการทำงานสักเท่าไหร่ ต้องเป็นคำชมเกี่ยวกับผลงานจึงจะส่งผล เชื่อผมเถอะครับ
ตัวอย่างเช่น เรามอบหมายงานให้ลูกน้องทำขอให้เขาทำให้เสร็จในสามวัน ปรากฏว่าเวลาเพิ่งผ่านไปได้สองวันเขาทำเสร็จแล้วเอามาส่งให้แล้ว พอเรารับงานมา เชื่อไหมครับ เขาจะยังไม่ถอนตัวไปจากเราโดยทันที เขาจะยืนอยู่ตรงหน้าเราเพื่อรออะไรบางอย่าง ซึ่งคนเป็นนายงานต้องรู้ว่าเขารอคำชม
ถ้าเราทำเฉยไม่รู้ไม่ชี้ มองหน้าเขาเหมือนถามว่ารออะไร เขาก็ย่อมเดินจากไปด้วยความผิดหวัง หัวหน้าบางคนทำอย่างนั้นนะครับ พอถามว่าทำไมไม่ชมละเขาอุตส่าห์รอ หัวหน้าผู้อ่านความต้องการของลูกน้องไม่ออกอาจตอบง่าย ๆ ว่า “ไม่หรอก ชมทำไม เดี๋ยวมันเหลิง” เป็นอย่างนั้นไป ช่างไม่มีจิตวิทยาในการบริหารเอาเลย
แต่นั่นแหละ แบบนั้นก็ยังดีกว่าหัวหน้าบางคนที่มองไปคนละมุมเลย ลูกน้องมาส่งก่อนเวลาแทนที่จะชมกลับตำหนิเสียนี่ “รีบจริงนะมึง กูบอกสามวัน สองวันมึงเสร็จแล้ว อย่าให้กูพบข้อผิดพลาดนะมึง กูเอามึงตายแน่” ถ้าหัวหน้าเป็นแบบนี้นะ รับรองได้ว่าลูกน้องเจอเข้าทีสองทีก็หนีหน้าหมดแหละครับ
ที่ถูกที่ควรประพฤติก็คือต้องให้คำชมครับ ให้อย่างอื่นไม่ได้เลย ต้อง “โอ้โฮ เยี่ยมเลยน้อง” “เก่งจริง ๆ “ “ทำได้อย่างไรนี่ “ “เสร็จแล้วหรือ ยอด ๆ ๆ “ อะไรทำนองนี้ ถ้าพูดแบบนี้ละก็ได้ใจลูกน้องไปเต็ม ๆ แน่ เผลอ ๆ คราวหน้าแทนที่จะเสร็จเร็วไปแค่วันเดียว อาจจะเป็นเสร็จเร็วขึ้นแค่วันเดียวก็เรียบร้อย……..ฮ่า
ชมแล้วชมเลยนะครับ แม้วันหลังอาจพบว่า งานที่เขารีบส่งให้เรานั้นมีความผิดพลาด ก็อย่าไปขอคำชมคืนนะครับ เรื่องอย่างนี้ให้แล้วให้เลย อย่างที่สมควรทำคือ เรียกมาแนะนำว่า “วันหลัง ถ้าทำเสร็จเร็ว ก่อนส่งก็ทบทวนซะอีกรอบ น่าจะดีกว่ารีบส่งนะ”
มอบหมายงานอะไรให้ลูกน้องไป ลูกน้องทำเสร็จแล้วเอามาส่ง ตรวจแล้วรู้สึกว่าผลงานของเขาออกมาดี เจอหน้าเขาต้องชมนะครับ หรือถ้าไม่เจอหน้าเขาแต่เจอเพื่อนเขาจะฝากคำชมไปก็ได้ “นี่ เจอ……..บอกเขาด้วยนะว่างานที่เขาทำเยี่ยมจริง ๆ” ฝากคำชมนี่เป็นสิ่งที่ทำได้นะครับ เพราะเหมือนกับช่วยกระจายความเก่งของเขาให้คนอื่นได้รู้ได้ทราบด้วย เจ้าตัวมีแต่ยินดี ไม่มีใครไม่พอใจหรอก ผมรับรอง
แต่เรื่องตำหนินี่กระจายไม่ได้นะครับ อย่าเที่ยวฝากคำตำหนิกับใครไปสู่ใครนะครับ เป็นเรื่องแน่ ๆ การตำหนิต้องถือเป็นเรื่องส่วนบุคคล ควรทำในที่ลับไม่ใช่ที่แจ้ง หมายความว่าเป็นเรื่องที่รู้กันสองคนระหว่างเรากับผู้ที่ถูกเราตำหนิ ไม่บังควรทำในรูปประจานให้รู้กันในวงกว้าง
เพราะฉะนั้นเรื่องชมนี่เป็นเรื่องเปิดให้ผู้ร่วมงานรับรู้ได้อย่างกว้างขวาง ยิ่งรู้กันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นที่พอใจของผู้ถูกชมเท่านั้น ดังนั้นถ้าเป็นเรื่องสำคัญอยากให้คนลอกเลียนแบบหรือเอาเป็นตัวอย่างอาจชมในที่ประขุมเลยก็ยังได้
ส่วนเรื่องตำหนินั้นต้องเป็นเรื่องไปรเวทแม้จะเป็นเรื่องงานไม่ใช่เรื่องส่วนตัว อย่าไปประจานในการประชุมเป็นอันขาด แม้เอาเรื่องไปเล่าในที่ประชุมโดยไม่เอ่ยชื่อผู้กระทำก็เถอะ เพราะคนโดนรู้ดีว่า “หัวหน้าเขาด่ากู ไม่ได้ด่าคนอื่น” แล้วเชื่อด้วยว่า คนอื่นต้องรู้ว่าคือกูนี่แหละ ตอนฟังอาจจะยังไม่รู้ แต่ท้ายที่สุดก็คงเดากันจนถูกแน่นอน
หัวหน้าที่รู้จักชมลูกน้องในวาระที่ควรชม วันหลังลูกน้องที่เราเคยชมเกิดทำผิดพลาดขึ้นมาแล้วเราไปตำหนิเขา เขาอาจไม่รู้สึกในทางร้ายกับเรา เขาอาจจะคิดว่าเราเป็นคนตรงไปตรงมา ทำผิดก็ตำหนิทำดีก็ชม แต่ถ้าเราไม่เคยชมใครเลย เอาแต่ตำหนิเป็นหลักอย่างเดียว ลูกน้องอาจจะนินทาเอาก็ได้ว่า “หัวหน้า แกก็เป็นคนแบบนี้แหละ คอยแต่จะจับผิดลูกน้องท่าเดียว” เป็นอย่างนั้นไป
เพราะฉะนั้น จิตวิทยาอย่างหนึ่งของคนที่เป็นหัวหน้าก็คือ เห็นลูกน้องทำดีอย่าลืมชมนะครับ