ศูนย์วิเคราะห์ TMB มองราคายางพารา 1-2 ปีทรงตัว หนุนรัฐดัน Rubber City


 
 
    ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี (TMB Analytics) ประเมินแนวโน้มราคายางพาราใน 1-2 ปีข้างหน้ายังคงทรงตัว แนะผู้ประกอบการเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้า พร้อมหนุนรัฐบาลผลักดันนิคมอุตสาหกรรมยางพารา (Rubber City)
 
   จากข้อมูลราคายางพาราแผ่นดิบที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจากระดับสูงสุด 180 บาท / ก.ก. ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ลงมาสู่ระดับ 41-47 บาท / ก.ก. ในปัจจุบัน (มี.ค.2559) จะเห็นว่าในช่วงสี่ปีที่ผ่านมาราคายางพาราลดลงเฉลี่ย 4 เท่าตัว โดยที่ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจฯ ได้ประเมิน แนวโน้มราคายางพาราจะทรงตัวใกล้เคียงกับระดับปัจจุบันไปอย่างน้อยอีก 1-2 ปีข้างหน้า ด้วย 4 ปัจจัย ดังนี้
 
    ปัจจัยที่ 1 ปริมาณความต้องการใช้ยางพาราส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมยางล้อ ซึ่งจะเติบโตตามอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยที่บริษัท IHS Automotive ผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมรถยนต์ คาดว่ายอดขายรถยนต์โลกในปี 2559-60 จะเพิ่มขึ้นราว 3.0-4.0% ต่อปี และจะส่งผลให้ปริมาณความต้องการใช้ยางพาราโลกขยายตัว 3.0-3.5% ต่อปีของตลาดหลักบางส่วน ได้แก่ สหรัฐอเมริกาและอินเดีย ที่เริ่มฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ทว่าความต้องการใช้ในจีนและญี่ปุ่น ยังคงไม่ดีจากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัว เมื่อเปรียบเทียบกับผู้บริโภครายใหญ่ ประกอบด้วย จีน 39.1% อินเดีย 8.3% สหรัฐอเมริกา 7.7% และญี่ปุ่น 5.8% ของปริมาณการใช้รวม 12.6 ล้านตัน
 
   ปัจจัยที่ 2 ปริมาณการผลิตนั้น มีข้อมูลจากสถาบัน International Rubber Study Group (IRSG) ผู้เชี่ยวชาญด้านยางพาราของโลก คาดว่าปริมาณผลิตยางพาราจะเพิ่มขึ้นระหว่าง 4-4.2% ต่อปีในช่วงปี 2559-60 โดยที่ผลผลิตจำนวนเพิ่มขึ้นจะมาจากขยายพื้นที่เพาะปลูกยางพาราของประเทศอินโดนีเซีย เวียดนาม จีน และอินเดีย ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดอุปทานส่วนเกินยางพาราได้ในช่วงถัดไป โดยที่ผู้ผลิตรายใหญ่ได้แก่ ไทย 35.8% อินโดนีเซีย 26.1% จีน 7.1% อินเดีย 5.8% และมาเลเซีย 5.5% ของปริมาณการผลิตรวม 12.6 ล้านตัน
 
   ปัจจัยที่ 3 ปริมาณสต็อกยางพารา จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอันมีสาเหตุหลักมาจากการขยายพื้นที่เพาะปลูกของผู้ผลิตนับตั้งแต่ปี 2553 โดยเฉพาะผู้ผลิตในประเทศอินโดนีเซีย เวียดนาม และจีน ก่อให้เกิดการทยอยสะสมสต็อก ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ IRSG เก็บข้อมูลสต็อกยางพาราของโลก โดยมีข้อมูลผู้ผลิตที่มีสต็อกรายใหญ่ได้แก่ ไทย 16.6% และมาเลเซีย 4.5% ของปริมาณสต็อกรวม 3.4 ล้านตัน
 
   ปัจจัยที่ 4 ราคายางสังเคราะห์ จะทรงตัวในระดับต่ำตามราคาน้ำมันดิบโลก เพราะยางสังเคราะห์ถือเป็นสินค้าทดแทนยางพารา โดยผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ยางสามารถปรับการผลิตผลิตภัณฑ์ยางในสัดส่วนที่ต้องการได้ กล่าวคือ เมื่อราคายางสังเคราะห์ลดลง ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ยางก็ปรับสัดส่วนการใช้ยางสังเคราะห์ในการผลิตผลิตภัณฑ์ยางมากขึ้น เพราะมีต้นทุนที่ต่ำกว่า ดังนั้น ผู้ผลิตยางพาราจึงต้องลดราคาขายของตนเองลงมา เพื่อให้สามารถขายแข่งกับยางสังเคราะห์ได้
 
   เมื่อประเมิน 4 ปัจจัยหลักที่กระทบราคายางพาราใน 1-2 ปีข้างหน้า พอจะสรุปได้ว่า ทิศทางราคายางพารายังคงมีปัจจัยกดดันให้ทรงตัวใกล้เคียงกับระดับปัจจุบัน โดยคาดว่าราคายางพาราแผ่นดิบในประเทศเฉลี่ยจะอยู่ที่ 45-50 บาท / ก.ก.
 
 
   ทั้งนี้ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจฯ ประเมินว่า ทิศทางราคายางพาราที่อยู่ในระดับนี้ ผลกระทบทางลบส่วนใหญ่จะตกแก่ชาวสวนยางพารา เนื่องจากมีต้นทุนการเพาะปลูกยางพาราเฉลี่ย 65 บาท / ก.ก. (ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2556) ซึ่งจะเห็นว่า ชาวสวนยางมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าราคาที่คาดว่าจะขายได้ ทำให้มีแนวโน้มต้องเผชิญกับการขาดทุน ขณะที่ผู้ค้า / ผู้ส่งออก มองว่าผลกระทบกลุ่มนี้จะขึ้นอยู่กับการบริหารสต็อกยางพาราที่รับซื้อมา
 
   นอกจากนี้ หากจัดการสต็อกที่รับซื้อมาอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยบรรเทาผลกระทบลงได้ ด้านผู้ผลิตสินค้าที่ใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบในการผลิต ได้แก่ ล้อรถยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ ถุงมือยาง ถุงยางอนามัย ฯลฯ ถือว่าเป็นกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง เนื่องจากการผลิตใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีสูง มีการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ทำให้ราคาขายของสินค้าไม่ลดลงตามราคาวัตถุดิบยางพารา
 
   ขณะเดียวกัน การที่ภาครัฐผลักดันนิคมอุตสาหกรรมกรรมยางพารา (Rubber City) ในเขตพื้นที่อุตสาหกรรมภาคใต้ จ.สงขลา เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการที่ต้องการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้ายางพารา ซึ่งคาดว่าจะเป็นรูปธรรมในปี 2564 ผู้ประกอบการควรพิจารณาเข้ามาใช้ประโยชน์ลงทุนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับยางพารา ซึ่งจะช่วยให้ราคายางพารามีทิศทางดีขึ้น และจะทำให้ Rubber City เป็นตามฝัน คือ “ชาวสวนยางพาราอยู่ได้ ประเทศชาติมีรายได้จากสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มจากยางพารา”