ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เผยความเชื่อมั่นผู้บริโภค พ.ย.63 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 สูงสุดในรอบ 9 เดือน ชี้ โครงการ “คนละครึ่ง” หนุนกำลังซื้อของประชาชนเพิ่ม
วันที่ 3 ธ.ค.63 นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือน พ.ย.63 ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทุกรายการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และปรับตัวอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือน เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลโดยเฉพาะโครงการ “คนละครึ่ง” และราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และปศุสัตว์
ส่งผลให้กำลังซื้อในหลายจังหวัดเริ่มปรับตัวดีขึ้น แม้ว่าผู้บริโภคจะมีความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองไทยหลังจากมีการชุมนุมทางการเมืองหลายครั้งในเดือน ต.ค. แต่ในส่วนของดัชนีความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองปรับตัวต่ำสุดในรอบ 171 เดือนหรือ 14 ปี 3 เดือน และผู้บริโภคยังมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าและการว่างงานในอนาคตที่เกิดจากผลกระทบเชิงลบจากโควิด-19
ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 45.6 50.0 และ 61.6 ตามลำดับ โดยปรับตัวดีขึ้นทุกรายการเมื่อเทียบกับดัชนีในเดือน ต.ค.63 ที่อยู่ในระดับ 43.9 49.0 และ 59.9 ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ดัชนียังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ (ที่ระดับ 100) แสดงว่าผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โอกาสในการหางานทำ และรายได้ในอนาคตอย่างมาก เพราะมีความกังวลในวิกฤติโควิด-19 และสถานการณ์ การเมืองในประเทศไทย ส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยและการจ้างงานถดถอยลง ซึ่งจะทำให้รายได้ในอนาคตของ ผู้บริโภคลดลงในที่สุด
การปรับตัวดีขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่นฯทุกรายการในเดือนนี้ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (Consumer Confidence Index : CCI) ปรับดีขึ้นอีกครั้ง โดยปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 50.9 เป็น 52.4 แต่ยังถือว่าค่าดัชนียังคงเคลื่อนไหวคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงย่ำแย่จากปัญหาการเมืองในประเทศและวิกฤตโควิด-19 ทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบในเชิงลบอย่างมากต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก ธุรกิจโดยทั่วไป และการจ้างงานในอนาคต โดยบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าผู้บริโภคจะมีความกังกลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองของไทยค่อนข้างมาก แต่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ที่ปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากได้รับผลทางจิตวิทยาในเชิงบวกหลังจากรัฐบาล ที่ออกมาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องหลายมาตรการ โดยเฉพาะโครงการ “คนละครึ่ง” ประกอบกับราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนเพิ่ม
ทั้งนี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจคาดว่า ผู้บริโภคยังคงชะลอการใช้จ่ายอย่างมากไปอย่างน้อยจนถึงไตรมาสที่ 1 ของปี 2564 จนกว่าสถานการณ์โควิด-19 ของโลกจะคลายตัวลง ซึ่งต้องติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรมชัดเจนในช่วงไตรมาสที่ 4 ว่าจะพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยได้มากน้อยเพียงใด และสถานการณ์ทางการเมืองของไทยจะดีขึ้นหรือแย่ลง ซึ้งทั้งสองปัจจัยมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอนาคตเป็นอย่างมาก