ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจธนาคารไทยพาณิชย์ (
EIC) รายงานความคืบหน้าของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ที่ระบุถึงการปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2016 ลงเหลือ 3.2% จากที่คาดการณ์ไว้ระดับ 3.4% ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยเป็นการปรับลดประมาณการทั้งประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศตลาดเกิดใหม่และกำลังพัฒนา รวมทั้งยังเตือนถึงความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้น
โดย IMF ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจทั่วโลก ยกเว้นประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย โดยประมาณการว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยูโรโซนจะเติบโตได้ 2.4% และ 1.5% ตามลำดับ ลดลง 0.2% จากการประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากต้องเผชิญกับเศรษฐกิจคู่ค้าที่ชะลอตัว สำหรับสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งค่า รวมถึงภาคอุตสาหกรรมและพลังงานที่อ่อนแอลง ขณะที่ยูโรโซนกำลังเผชิญกับความเสี่ยงด้านเงินฝืด ในส่วนของญี่ปุ่น IMF ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจลงถึง 0.5% เหลือเติบโต 0.5% ในปี 2016 ซึ่งลดลงมากที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เนื่องจากค่าเงินเยนที่แข็งค่ามีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อการส่งออก
นอกจากนี้ ประเทศในแถบตะวันออกกลาง แอฟริกา และละตินอเมริกา ต่างก็ถูกปรับคาดการณ์เศรษฐกิจลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ตกต่ำ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย เช่น จีน อินเดีย และอาเซียน ไม่ถูกปรับลดประมาณการ รวมถึงมีมุมมองต่อเศรษฐกิจจีนที่ดีขึ้น โดยปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจจีนในปีนี้จากเดิม 6.3% เป็น 6.5% จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้การเติบโตของเศรษฐกิจเป็นไปตามเป้าหมาย รวมถึงภาคบริการมีแนวโน้มเติบโตได้ดีจากการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของรัฐบาลที่เปลี่ยนมาเน้นการบริโภคภายในประเทศ นอกจากนี้ การเติบโตของรายได้ก็ยังสูง และตลาดแรงงานยังมีความแข็งแกร่ง
ขณะที่ มุมมองเศรษฐกิจโลกของ IMF สนับสนุนมุมมองของอีไอซีว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวในปีนี้ ภาพรวมเศรษฐกิจโลกและปริมาณการค้าโลกทั้งสินค้าและบริการที่ชะลอลงทำให้การส่งออกของไทยปีนี้มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องจากปีก่อน ซึ่งเมื่อรวมกับปัจจัยภายในประเทศคือ การบริโภคครัวเรือนที่ชะลอตัวจากผลของภัยแล้ง และความเชื่อมั่นภาคธุรกิจที่ยังต่ำ ทำให้อีไอซียังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีแนวโน้มเติบโต 2.5% ชะลอลงจาก 2.8% ในปีก่อน
อย่างไรก็ดี ไทยยังมีจุดแข็งที่สามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดการเงินโลก โดย IMF กล่าวว่าปัจจัยที่ทำให้ประเทศตลาดเกิดใหม่รับมือกับความผันผวนของเงินทุนไหลออกได้ดีกว่าประเทศอื่นคือ 1. มีทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับสูง 2. มีหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศต่ำ และ 3. มีอัตราแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่น ซึ่งปัจจุบันไทยมีปัจจัยทั้ง 3 ด้านอย่างครบถ้วน
ขณะเดียวกัน ภาครัฐควรเร่งดำเนินการด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นอีกปัจจัยขับเคลื่อนหนึ่งที่ IMF มองว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและยกระดับประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งเป็นการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศในระยะยาว