สถาบันอาหาร เผยซาอุดิอาระเบียไฟเขียวส่งเสริมให้นักลงทุนต่างชาติมีกรรมสิทธิ์ 100% ในธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง เชื่อค้าปลีกอาหารเติบโตสูง
นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม เผยว่า ศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร จากการจัดทำรายงานเกี่ยวกับแนวโน้มธุรกิจ ค้าปลีกอาหารในซาอุดิอาระเบียซึ่งเป็น 1ใน 6 ของกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับหรือ GCC ประกอบด้วยซาอุดิอาระเบีย คูเวต โอมาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ และบาห์เรนพบว่า ในภาพรวมระหว่างปี 2557 ถึง 2562 ปริมาณการบริโภคอาหารในกลุ่มประเทศ GCC คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ร้อยละ3.5 โดยคาดว่าในปี 2562 ปริมาณการบริโภคอาหารทั้งภูมิภาคจะอยู่ที่ 51.9 ล้านเมริกตัน เนื่องจากมีการขยายตัวของประชากร คาดว่าเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 2.4 จาก 50 ล้านคน ในปี 2558 เป็น 57.6 ล้านคน ในปี 2562
นายยงวุฒิ เผยด้วยว่า ขณะนี้มีแนวโน้มที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 3 ในปี 2562 ขณะที่รายได้ของประชากรในกลุ่มประเทศ GCC คาดว่าต่อคนต่อหัวจะเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 2.5 ในปี 2562 ส่งผลต่อพฤติกรรมการเลือกบริโภค โดยจะสนใจซื้ออาหารที่มีราคาสูงเพิ่มมากขึ้น เช่น สินค้าเกษตรอินทรีย์ เนื้อหมัก นมปรุงแต่ง และอาหารพร้อมปรุง ส่วนธัญพืชเป็นหมวดสินค้าอาหารที่มีการบริโภคมากที่สุดในภูมิภาค โดยคาดว่าในปี 2562 จะมีสัดส่วนถึงร้อยละ 46.5 ของปริมาณการบริโภคอาหารทั้งหมด
ทั้งนี้ ซาอุดิอาระเบียถือเป็นประเทศที่มีการบริโภคอาหารมากที่สุดในกลุ่มประเทศ GCC หรือคิดเป็นร้อยละ 60 ของปริมาณการบริโภคอาหารทั้งหมด สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของประชากรในประเทศ โดยมีจำนวนประชากรเกือบ 2 เท่าของสมาชิกที่เหลืออีก 5 ประเทศรวมกัน ทั้งยังเป็นผู้นำเข้าสินค้าอาหารและการเกษตรรายใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศ GCC คือราวร้อยละ80 ของความต้องการบริโภคในประเทศ คาดการณ์ว่าซาอุดิอาระเบียจะมีประชากรประมาณ 40 ล้านคนในปี 2568 ด้วยอัตราการเติบโตร้อยละ 3 ต่อปี นอกจากนี้ จากการเติบโตทางเศรษฐกิจช่วยให้รายได้ต่อหัวของคนในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้มีการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิต และมีความต้องการการบริโภคสินค้าอาหารที่มีคุณภาพสูงมากขึ้น ในปี 2559 คาดการณ์ว่าการบริโภคอาหารในประเทศจะมีมูลค่าอยู่ที่ 113,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยการเพิ่มขึ้นของประชากรในวัยหนุ่มสาวของสังคมซาอุดิอาระเบียเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มความต้องการบริโภคอาหารสำเร็จรูปที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ประกอบกับสังคมเมืองในซาอุดิอาระเบียที่มีชีวิตรีบเร่ง ผู้บริโภคจึงนิยมซื้ออาหารพร้อมทานหรืออาหารที่นำกลับไปรับประทานที่บ้านจากซูเปอร์มาร์เก็ต หรือไฮเปอร์มาร์เก็ต หรือนิยมรับประทานอาหารนอกบ้านแทน
ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร ระบุด้วยว่า สำหรับผู้ประกอบการไทยที่สนใจนำสินค้าอาหารเข้าสู่ตลาดซาอุดิอาระเบีย ควรเป็นสินค้าอาหารพร้อมทานที่มีความสะดวกและง่ายในการรับประทาน อีกทั้งควรวางจำหน่ายในช่องทางค้าปลีกสมัยใหม่ เพราะเป็นช่องทางหลักที่ผู้โภคในเมืองเลือกซื้อสินค้า ทั้งนี้ควรตั้งราคาจำหน่ายให้ใกล้เคียงกับประเทศที่ส่งสินค้าไปขายในภูมิภาคนี้ เช่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ และสิงค์โปร์