ทำแล้วได้อะไร : สุขุม นวลสกุล


คนเรานี่ถ้าถูกถามว่า “ใครเห็นแก่ได้ให้ยกมือขึ้น”  รับรองว่าไม่มีใครกล้ายกมือยอมรับ  ถ้ามีก็ต้องเป็นพวกที่ยึดมั่น “ด้านได้ อายอด”   แต่เชื่อเถอะถึงไม่ยกมือแต่จะยกหู เอ๊ย…..เงี่ยหูฟังว่าตกลงจะได้อะไร เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เห็นแก่ได้ แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่ค่อยจะเห็นอะไร…….ฮ่า

ที่เขียนข้อความข้างต้นมาให้อ่านเพราะจะบอกว่า  ถ้าเราปรารถนาให้ใครทำอะไรให้เราหรือตามความต้องการของเรา  สิ่งที่จะจูงใจเขาให้เต็มใจทำให้เราก็คือ ทำแล้วเขาก็จะได้อะไรที่เป็นประโยชน์แก่เขา

เพราะฉะนั้นคนที่เป็นเจ้านายหรือหัวหน้าซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการที่จะสั่งให้ลูกน้องทำโน่นทำนี่จึงควรที่จะเข้าใจในหลักจิตวิทยาข้อนี้

จริงอยู่เมื่อเป็นบอสก็ต้องมีอำนาจให้ลูกน้องยำเกรงอยู่แล้ว  จะสั่งอะไรใครที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา   เขาก็ต้องทำ ขืนไม่ทำอาจจะโดนลงโทษหรือกลายเป็นลูกน้องไม่ดีในสายตาลูกพี่ซึ่งก็คงไม่มีใครอยากเป็น  แต่เขาจะทำด้วยความเต็มอกเต็มใจหรือมีประสิทธิภาพหรือไม่เป็นเรื่องที่ยังแน่ใจไม่ได้

เพื่อให้ลูกน้องเต็มใจทำงานที่เรามอบหมายให้  สิ่งที่คนเป็นเจ้านายควรพิจารณาเป็นเรื่องแรกคือ  ทำแล้วผู้กระทำจะได้อะไร  ถ้าเกิดมีอะไรให้ได้ละก็  รับรองว่าเขาจะมีกำลังใจในการทำมากขึ้น

ตัวอย่างเช่น  เราเป็นเจ้าของกิจการพอสิ้นปีก็คิดวางแผนที่จะให้บริษัทของเราทำกำไรเพิ่มขึ้นอีกเท่าหนึ่งในปีใหม่  หลังจากพิจารณาแล้วเห็นว่าน่าจะเป็นไปได้หากบริษัทเราจะเพิ่มทำงานในวันเสาร์ขึ้นอีกวัน เพราะบริษัทที่กิจการเหมือนเราทำงานจากจันทร์ถึงศุกร์เท่านั้น

ถ้าคิดได้แค่นี้ยังจูงใจพนักงานให้ร่วมมือได้ยากหรือไม่เต็มที่  เพราะคิดแค่บริษัทได้ยังไปไม่ถึงพนักงานว่าได้อะไรบ้าง

รับรองครับ  วันแถลงนโยบายใหม่หวังให้พนักงานคึกคัก  เอาเข้าจริง ๆ มีเราคึกคักอยู่คนเดียวคนอื่น ๆ เขาไม่เอาด้วยหรอก จะบอกให้

เจ้านายอุตส่าห์ตระโกนสุดเสียงเพื่อเรียกร้องความสนใจจากพนักงาน  “ปีใหม่นี้บริษัทมีนโยบายทำกำไรของบริษัทให้เป็นสองเท่าของปีที่ผ่านมา”  หวังจะได้ยินเสียงปรบมือแสดงความดีใจของบรรดาพนักงานที่นั่งฟังอยู่   แต่กลับเงียบกริบ เพราะทุกคนได้ยินชัดว่า “กำไรของบริษัท”   ฟังแล้วไม่แน่ใจว่าเป็นกำไรของพนักงานด้วยหรือเปล่า…….แฮ่

เห็นเหตุการณ์ไม่เป็นไปตามคาดหมาย  แทนที่จะฉุกคิดว่ามีความผิดพลาดในการนำเสนอเกิดขึ้นแล้ว  คนเป็นเจ้านายดันคิดไปอีกแบบเสียนี่  “ที่เงียบนี่ไม่เชื่อใช่ไหมว่า  ทำได้”

จึงตระโกนดังสนั่นว่า  “ได้ซีครับ ทำไมจะไม่ได้  เพียงแต่พวกเราทำงานวันเสาร์เพิ่มอีกวัน”

ตอนนี้พนักงานชักกระสับกระส่ายเพราะอุตส่าห์เงียบไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ  แต่ยิ่งฟังกลับเดือดร้อนขึ้น  มีรายหนึ่งเก็บความรู้สึกไม่อยู่ จึงร้องถามชัดถ้อยชัดคำสะท้อนความรู้สึกภายในออกมาว่า  “แล้วพวกเราได้อะไรบ้าง”

เจ้านายก็ตอบทันควันว่า “ไม่ต้องห่วง  เรื่องนี้ค่อยพูดกัน  ให้ได้กำไรมาก่อน”

หากเรื่องเป็นไปตามที่เล่ามาข้างต้นนี้  การประชุมเพื่อขอความร่วมมือจากพนักงานของบริษัทต้องจบแบบโศกนาฏกรรมอย่างแน่นอน   เพราะผู้เป็นเจ้าของขาดจิตวิทยาในการจูงใจพนักงาน

จริง ๆ แล้ว  ก่อนจะไปประชุมพนักงาน หลังจากวางแผนให้บริษัททำกำไรเป็นสองเท่าได้แล้ว  เจ้าของต้องคิดไปอีกขั้นหนึ่งว่า  แล้วพนักงานจะได้อะไรบ้างจากการที่บริษัทกำไรเพิ่มขึ้น

จะพบว่าสิ่งที่พนักงานจะต้องได้แน่นอนคือเมื่อกำไรเพิ่มขึ้นอีกเท่าหนึ่งโบนัสก็ต้องเพิ่มเท่าหนึ่งเป็นเงาตามตัว

ต่อมาพิจารณาแล้วเห็นว่า  แม้เพิ่มโบนัสเป็นสองเท่าแล้วแต่กำไรยังเยอะกว่าเก่ามาก  เพราะพนักงานเท่าเดิมเงินเดือนจ่ายเท่าเดิม  อย่ากระนั้นเลย  ปันกำไรให้พนักงานเพิ่มอีกหน่อยก็แล้วกัน  ค่าล่วงเวลาวันเสาร์เพิ่มเป็นสองแรงบริษัทก็ยังกำไรมากอยู่ดี

ถ้าคิดถึงพนักงานได้อะไรบ้างครบถ้วนแล้ว  อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าครบวงจร  พร้อมที่จะไปปลุกใจพนักงานแล้ว

แค่เริ่มต้นด้วยประโยคว่า  “ปีนี้บริษัทมีนโยบายที่จะทำให้โบนัสของพวกเราเป็นสองเท่าของปีที่ผ่านมา” เสียงปรบมือของพนักงานก็ดังก้องห้องประชุมแล้วละครับ  อาจจะเบาลงหน่อยตอนประโยคที่ติดตามมาที่ว่า “เพียงแต่พวกเรามาทำงานวันเสาร์เพิ่มอีกวัน”

แต่พอตามด้วย “สำหรับวันเสาร์   ค่าล่วงเวลาคิดให้สองแรง”  น่าเชื่อว่าเสียงปรบมือจะกลับมาดังเท่าเดิม……ฮ่า

จะสั่งให้ลูกน้องทำอะไร  ถ้าทำแล้วเขาได้อะไร  ก็ให้แจ้งให้ทราบไปเลย  อย่าละไว้โดยนึกว่ารู้กันแล้ว ไม่เห็นจะต้องบอกเลย  บอกไปเถอะครับ เพื่อความชัดเจน  เพราะคนบางคนคิดมากหรือคิดไปในทางร้าย

เช่น  เราจะให้ลูกน้องมาทำงานวันเสาร์อาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุด   ก็บอกให้ครบถ้วนกระบวนความไม่เหลือช่องให้คิดมาก   “เสาร์อาทิตย์นี้ ขอร้องนะ  มาทำโอทีกันทุกคน  บริษัทรับออเดอร์ไว้เพียบเลย มาช่วยกันหน่อยนะ

ขอร้องแบบนี้คนฟังก็สบายใจตรงที่อย่างไรก็ได้โอทีที่ทุกคนรู้ดีว่าหมายถึง “ค่าจ้างล่วงเวลา”   บางคนแม้ไม่เต็มใจจะมาเพราะอยากพักผ่อนหรือมีนัดหมายสำคัญ  ก็อาจจะปลอบใจตัวว่า  “ไม่เป็นไร ยังไงก็ได้เงินโอทีละวะ”   หรือบางคนอาจจะดีใจด้วยซ้ำไปเพราะกำลังอยากได้เงินพิเศษอยู่พอดี  พวกนี้อาจนึกขอบคุณในใจด้วยซ้ำไป……แฮ่

ไม่ใช่สั่งแบบกำกวมให้ตีความกันเองว่า  “เสาร์อาทิตย์มาทำงานกันทุกคนนะ  ต้องมานะ ใครไม่มาผมเอาเรื่องจริง ๆ ด้วย  บริษัทจำเป็นต้องให้ทำงานทั้งสองวัน ไม่งั้นของทำไม่ทันออเดอร์  ช่วย ๆ กันหน่อย นาน ๆ บริษัทขอร้องที”

ลูกน้องบางคนเป็นคนคนคิดมาก  นึกสงสัยว่ามาทำงานแบบช่วยกันในลักษณะกาชาด  อย่างนี้ก็ไม่ได้ค่าจ้างตอบแทนซี  จะถามตอนได้ยินก็ไม่กล้าถามกลัวจะถูกมองว่าเป็น “คนเห็นแก่ได้”    ตั้งแต่ได้ยินความกำกวมก็เกิดอาการนอนไม่หลับ คิดแต่ว่า “จะได้เงินค่าจ้างหรือไม่”   วันเสาร์มาทำงานหน้าตาซีดเซียวสุขภาพโทรมไปไม่น้อยเพราะนอนไม่เต็มตา

พอมาถึงเขาเรียกให้เซ็นชื่อเพื่อไว้เบิกโอที  จิตใจก็กลับแช่มชื่นขึ้น  มีกำลังใจทำงานขึ้นทันที  แต่สังขารเสื่อมไปแล้ว ยังไง ๆ ประสิทธิภาพการทำงานก็ไม่เท่าเดิม  เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นไม่ควรโทษว่าเป็นความผิดของลูกน้องที่ไม่ซักถาม  ต้องโทษว่าเป็นความผิดของลูกพี่ที่ไม่พูดให้ชัดเจนเสียแต่แรก  ปล่อยให้ลูกน้องคิดมากจนเกือบเสียงานเสียการ

แต่ถ้านักบริหารที่เป็นคนสั่งเกิดโชคดีมีลูกน้องเป็นคนรุ่นใหม่  คือคนรุ่นใหม่นี่จะเป็นคนหน้าด้าน เอ๊ย….ไม่ค่อยอายกล้าพูดกล้าถาม เช่น ไปบ้านใครบางทีไม่รอให้เขาชวนกลับถามนำขึ้นก่อนว่า  “มีอะไรให้กินไหม  หิวจังเลย”    ลูกน้องประเภทคนรุ่นใหม่นี้  เมื่อกังขาก็ตระโกนถามเลย  “มาทำเสาร์อาทิตย์นี่ มีโอทีไหมครับ เจ้านาย”

เจอแบบนี้เข้าต้องถือว่าโชคดีนะครับ  ต้องรีบฉวยโอกาสทันที  “ขอบคุณมากที่ถาม  ขอโทษด้วยที่พูดไม่ชัดเจน  มีแน่นอนครับมีโอทีทั้งสองวัน  มาทุกคนนะครับ”  ตอกย้ำตรงท้ายไปด้วยก็ได้  เราจะเห็นสีหน้าของคนฟังแช่มชื่นขึ้น  ตรงที่ได้ยินคำว่า “โอที” นี่แหละ

ไม่ใช่สวนกลับไปแบบฉุนเฉียวว่า “คุณนี่ไม่น่าถามเลย ให้ทำงานวันหยุดก็ต้องมีโอทีซี  กฎหมายบังคับอยู่แล้ว  ผมไม่ทำผิดกฎหมายหรอกน่า “