นักบริหารต้องมีการตัดสินใจที่ดี เพราะนอกจากจะต้องตัดสินใจในเรื่องที่อยู่ในหน้าที่ของตนเองแล้ว บางครั้งอาจต้องตัดสินใจแทนคนอื่นด้วย เช่น ลูกน้องยื่นเรื่องมาเพื่อให้ตัดสินใจ ยิ่งถ้าเป็นนักบริหารระดับสูง ๆ ด้วยแล้วบางครั้งต้องตัดสินใจแทนองค์กรเลยทีเดียวเลยนะ จะบอกให้
จะไม่ตัดสินใจก็จะโดนกล่าวหาว่า “ลอยตัว” จะรีรอลังเลก็จะโดนถากถางนินทาหาว่า “เชื่องช้า”เสียฟอร์มเปล่า ๆองค์ประกอบอย่างหนึ่งที่จะทำให้ตัดสินใจได้ดีและถูกต้องคือ “ข้อมูล”
นักบริหารจึงจำเป็นต้องมีข้อมูลถูกต้อง ทันสมัย มากพอ และรอบด้าน ยิ่งข้อมูลกว้างขวางเท่าใด โอกาสที่จะตัดสินใจไม่ผิดพลาดย่อมมากตามขึ้นไปด้วย ดังนั้นนักบริหารจึงต้องมีนิสัยเก็บข้อมูลต่าง ๆ เข้าสู่คลังความคิดของตน รวบรวมเป็นความจำที่ไว้ดึงออกมาเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในเรื่องต่าง ๆ ที่ต้องตัดสินใจ
ข้อมูลนั้นคงจะต้องเก็บเกี่ยวจากประสบการณ์ในการทำงาน เรื่องที่เคยตัดสินใจมาไม่ว่าจะตัดสินใจผิดหรือตัดสินใจถูกล้วนแล้วแต่เป็นบทเรียนให้เก็บไว้เป็นประโยชน์ได้ทั้งนั้น การฟังประสบการณ์ของนักบริหารคนอื่น ๆ การอ่าน การฟัง อาจไม่ใช่เป็นประสบการณ์ตรง แต่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจแน่นอน
อย่างครั้งหนึ่งสมัยผมยังเป็นคณบดีคณะรัฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้ร่วมเดินทางไปกับคณะอาจารย์หลายมหาวิทยาลัยไปทัศนะศึกษาสาธารณรัฐประชาชนจีน ผมได้รับมอบหมายให้เป็นเลขานุการคณะ ผมไม่เคยไปประเทศจีนมาเลยในชีวิต ตอนนั้นก็เลยหาข้อมูลซื้อหนังสือทัศนะศึกษาประเทศจีนที่มีผู้เขียนไว้หลายเล่มมาอ่าน
จำได้ว่ามีทั้งของนักประพันธ์ใหญ่ (สุวัฒน์ วรดิลก) นักหนังสือพิมพ์(ศุภเกียรติ ธารณกุล) นักการเมือง(วีระ มุสิกพงศ์) นักวิชาการ(ดร. เขียน ธีระวิทย์) นักร้องนักชิม(มรว. ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์) อ่านแล้วทำให้รู้จักและมีความรู้เกี่ยวกับประเทศจีนมากพอที่จะทำหน้าที่เลขานุการได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องมากนัก
ทุกเช้าทุก ๆ วันเมื่ออยู่ที่นั่น ผมจะบริ๊ฟให้หัวหน้าคณะทราบว่า ตามกำหนดการที่เขากำหนดไว้ท่านจะได้พบอะไรบ้าง บางครั้งก็เสนอแนะว่าควรทำนั้นควรทำนี่เพื่อให้เหมาะสมกับกาลเทศะ การบริ๊ฟของผมมักจะไม่ผิดพลาด จนท่านหัวหน้าคณะถามผมว่า ผมมาเมืองจีนกี่ครั้งแล้วจึงดูแสนรู้ เอ๊ย…..รอบรู้ไปหมด ผมจึงสารภาพอย่างภาคภูมิใจว่า เพิ่งมาเป็นครั้งแรกเหมือนท่านแหละครับ แต่ที่ดูเหมือนมีประสบการณ์มากเพราะอาศัยการ “อ่าน” ครับ
เพราะฉะนั้น การฟัง การอ่าน ทำให้เราได้เรียนรู้ประสบการณ์ของคนอื่น สิ่งที่เขาถ่ายทอดมาทำให้เราสามารถเข้าถึงเรื่องนั้นได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องมีประสบการณ์ตรง คนเป็นนักบริหารแม้อายุยังน้อยก็อาจมีข้อมูลมากมายที่เก็บเกี่ยวจากการอ่านหรือการฟังประสบการณ์ของคนอื่นอีกที
สิ่งที่อยากแนะนำนักบริหารที่ประสงค์จะได้ข้อมูลหรืออยากให้ข้อมูลมาสู่ตนประการหนึ่งคือ ต้องเป็นคนที่ทนฟังผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ข้อบกพร่องในการทำงานของเราได้โดยไม่ตอบโต้ เราอาจจะไม่เห็นด้วยกับความเห็นของเขาหรือคิดว่าไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูดแต่ระหว่างที่เขากำลังนำเสนอหรือพูดบาดหูเราอยู่ ต้องทนฟังให้ได้ ถ้าเราขัดคอหรือตอบโต้รับรองได้ว่า คนที่จะพูดให้ข้อมูลด้านไม่ค่อยดีหรือไม่ดีของเราให้เราฟัง จะไม่ค่อยมี จะมีแต่เอาไปนินทาลับหลังกลายเป็นข้อมูลที่คนอื่นรู้แต่เราตัวคนเป็นข้อมูลเองกลับไม่รู้ไม่ขี้เสียนี่
การทนฟังการวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ ได้ยินเมื่อไหร่ต้องตอบโต้ทันที จะเป็นเหตุให้เสียโอกาสที่จะได้ข้อมูลที่แม้เราจะเห็นว่าผิดพลาดแต่เป็นสิ่งที่คนอื่นคิดหรือเชื่ออย่างนั้น สิ่งที่ถ้าเรารับฟังแล้วค่อยหาโอกาสตอบโต้ภายหลังเมื่อเอาไปตรึกตรองให้รอบคอบเสียก่อน น่าจะดีกว่าการตอบโต้แบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ผมเห็นอย่างนั้นครับ ใจเย็น ๆ อดทนฟังไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยน่าจะเป็นท่าทีที่เหมาะสมกว่าสำหรับผู้ที่อยากให้ข้อมูลเข้าสู่ตน
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ผมรับจัดสัมมนาให้บริษัทหนึ่ง เป็นการสัมมนาประจำปีระดมความคิดของพนักงานเพื่อเสนอให้บริษัทปรับปรุงหรือปฏิรูปเพื่อให้พนักงานมีขวัญกำลังใจและความสุขในการทำงานมากขึ้น การสัมมนาคราวนั้นลงทุนเป็นแสน จัด ๒ วันติดต่อกัน วันแรกผมแบ่งพนักงานประมาณเกือบร้อยคนเป็น ๓ กลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มช่วยกันคิดว่าบริษัทควรปรับปรุงอะไรเกี่ยวกับสวัสดิการของพนักงาน วันที่สองให้แต่ละกลุ่มนำเสนอต่อที่ประชุมใหญ่
วันที่แต่ละกลุ่มออกมานำเสนอนั้น เบื้องต้นผมรู้สึกดีใจที่ผู้บริหารระดับสูงให้ความสนใจเต็มที่เข้ามาฟังด้วยตนเองเลย นั่งเรียงกัน ๓ คนแถวหน้าเลย ทั้งประธานบริษัท รองประธาน และผู้จัดการ บริษัทนี้เป็นลักษณะธุรกิจครอบครัว ประธานคือเฒ่าแก่ใหญ่ รองประธานคือภรรยาท่านประธาน ส่วนผู้จัดการคือลูกชาย
แต่พอเริ่มนำเสนอ บรรยากาศชักไม่ค่อยดี เพราะตัวแทนของกลุ่มเสนอความเห็นของกลุ่มในเรื่องอะไรก็แล้วแต่ หนึ่งในสามคนสำคัญของบริษัทจะลุกขึ้นผลัดกันตอบโต้ ไม่ยอมรับข้อเสนอ ไม่เห็นด้วยกับที่ระดมความคิดกันมา พนักงานบอกว่าเรื่องนั้นบกพร่อง ผู้บริหารก็เถียงว่าไม่บกพร่อง เสนอให้ทำอะไรก็ยืนยันว่าที่ทำอยู่นะดีอยู่แล้ว พูดง่าย ๆ คือไม่ยอมรับข้อเสนอหรือแนะนำของพนักงานที่อุตส่าห์ใช้เวลาตั้งหลายชั่วโมงระดมความคิดกันมา
หลังจากนำเสนอผ่านไป ๒ กลุ่มแบบผู้บริหารกลายเป็นผู้ชี้แจงว่าที่บริษัททำนะดีอยู่แล้ว ฝ่ายพนักงานมีโอกาสพูดน้อยกว่าฝ่ายบริหารเสียด้วยซ้ำไป ผมก็เรียกกลุ่มที่ ๓ ของพนักงานออกมานำเสนอ ปรากฏว่าตัวแทนกลุ่มที่ ๓ ไม่ออกมานำเสนอโดยส่งโน้ทมาให้ผมอ่านว่า “กลุ่มที่ ๓ ขอไม่นำเสนอ เพราะเห็นว่าบริษัททำทุกอย่างดีอยู่แล้ว” กลายเป็นประชดประชันไปเลย
การสัมมนาคราวนั้นจึงอวสานลงแบบโศกนาฏกรรม อุตส่าห์ทุ่มเงินเป็นแสนใช้เวลาถึงสองวันกลับจบลงแบบไม่ได้ข้อเสนอใด ๆ ที่จะเอาไปใช้ปฏิรูปบริษัท ผู้บริหารอาจจะดีใจที่สามารถเถียงจนพนักงานเงียบเสียงไม่ยอมเสนออะไรอีก แต่เรื่องอย่างนี้ถ้าผู้บริหารใจกว้างไม่โต้ตอบ ปล่อยให้พนักงานพูดหรือเสนอได้เต็มที่ อย่างน้อยที่สุดผู้บริหารก็จะทราบว่า พนักงานคิดอย่างไร บวกหรือลบต่อบริษัท จะทำอย่างไรต่อไปเพื่อให้พนักงานมีความรู้สึกต่อบริษัทในทางที่ดีกว่าเดิม ค่อยไปตัดสินใจทีหลังเมื่อคิดรอบคอบแล้ว
เพราะฉะนั้นนักบริหารต้องหนักแน่นและอดทนฟังการวิพากษ์วิจารณ์ในทางที่ไม่ดี ได้ยินเมื่อไหร่ทนฟังได้ก็จะได้ข้อมูลเพิ่มเติม ว่ากันว่า ถ้าผู้บริหารไปเข้าห้องน้ำรวมของบริษัท ระหว่างที่นั่งสุขาอยู่ เกิดมีคนงานมาเข้าห้องน้ำแล้วคุยกันในห้องน้ำนินทาหัวหน้าโดยไม่รู้ว่าหัวหน้ากำลังนั่งอยู่ในห้องน้ำ นักบริหารที่ชาญฉลาดต้องนั่งสุขาไปเงียบ ๆ จะได้ยินได้ฟังสิ่งที่ควรได้ยิน เก็บเป็นข้อมูลใส่คลังสมองไว้
แต่ถ้าเป็นนักบริหารประเภทใจเบาไม่หนักแน่น อาจจะทนไม่ไหวกระแอมหรือส่งเสียงให้รู้ว่า “ฉันนั่งอยู่นะ มานินทาอะไรกันนี่ เดี๋ยวเถอะมึง” เล่นเอาลูกน้องอกสั่นขวัญหายรีบโจนออกจากห้องน้ำไม่ทันได้ขี้ได้เยี่ยว โล่งหูหัวหน้าไป แต่น่าเสียดายที่นักบริหารคนนั้นอดได้ข้อมูลที่ควรได้ไป…..ฮ่า