หลักการบริหารเป็นทักษะสำคัญของคนทำธุรกิจที่ต้องมีติดตัว แต่ด้วยวัน-เวลาที่เปลี่ยนแปลงไป บางทีหลักการ หรือแนวคิดที่เรายึดติดเอาไว้เป็นแนวทางในการทำงานอาจจะใช้ไม่ได้เสมอไป และต้องมีการปรับให้มีความเหมาะสมกับบริบทให้ราบรื่นที่สุด เราไม่ต้องสงสัยเลยว่าโลกแห่งการทำงานเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากปัจจัยในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยี, โลกาภิวัตน์, บรรยากาศในที่ทำงานที่ไม่เหมือนเดิม เพื่อที่จะประสบความสำเร็จ ผู้นำหรือผู้บริหารในยุคปัจจุบันจำเป็นต้องหาแนวทางจัดการที่ทันสมัยกว่านี้มาประยุกต์ใช้ ทั้งแนวคิด และกลยุทธ์ใหม่ ๆ โดยในบทความนี้ Smartsme จะพาไปรู้จักผู้นำแบบดั้งเดิม และผู้นำแบบใหม่ โดยทั้งสองแบบมีข้อดี-ข้อเสีย แตกต่างกันออกไป ซึ่งเราสามารถนำเอา 2 แนวทางนี้มาประยุกต์ใช้ เสริมส่วนที่ขาดหายซึ่งกันและกันได้ เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดออกมา ความแตกต่างระหว่าง “ผู้นำแบบเดิม” กับ “ผู้นำสมัยใหม่” มองได้ว่าผู้นำแบบเดิมมักมีรูปแบบการบริหารแบบ “เผด็จการ” หมายความว่าพวกเขาตัดสินใจโดยไม่มีใครเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือรับข้อมูลจากผู้อื่น แต่ผู้นำสมัยใหม่ มักมีรูปแบบการทำงานร่วมกัน พร้อมให้ผู้อื่นมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และเดินหน้าไปสู่เป้าหมายพร้อมกัน ในส่วนของการทำงาน ผู้นำแบบเดิมอาจให้ความสำคัญกับเป้าหมายที่เน้นไปที่การทำงาน ขณะที่ผู้นำสมัยใหม่ให้ความสำคัญกับเป้าหมายที่มุ่งเน้นผู้คนมากกว่า โดยทั่วไปแล้วผู้นำแบบดั้งเดิมจะใช้แนวทางจากบนลงล่าง ผ่านการตัดสินใจที่ปราศจากการได้รับข้อมูลจากผู้อื่น สวนทางกลับผู้นำยุคใหม่ที่มีแนวโน้มที่จะใช้วิธีการสร้างการมีส่วนร่วมแบบประชาธิปไตยมากกว่า สร้างการมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ เรื่องนี้ยังขยายถึงบทลงโทษที่ผู้นำแบบดั้งเดิมจะใช้มาตรการลงโทษบังคับใช้ตามเจตจำนงของตนเอง ส่วนผู้นำสมัยใหม่จะเน้นการสร้างแรงบันดาลใจมากกว่า ที่กล่าวมาเป็นภาพรวมของการบริหารของผู้บริหารดั้งเดิม และผู้บริหารยุคใหม่ ที่นี้เรามาดูกันต่อว่า หากในเชิงการทำธุรกิจที่ชี้ให้เห็นว่าผู้บริหารยุคใหม่ทำได้ดีกว่าผู้นำยุคเก่า 1.โฟกัสเป้าหมาย: […]

ตลาดอีคอมเมิร์ซกลายเป็นเรื่องปกติที่เรามักพบเห็นในยุคปัจจุบันที่พ่อค้า แม่ค้าจะนำเอาสินค้าที่ตนเองมีอยู่มาวางจำหน่ายในหมวดหมู่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, เสื้อผ้า, ของใช้ในครัวเรือน เหล่านี้เป็นสินค้าที่ตอบโจทย์ของผู้คน โดยเฉพาะนักช้อปปิ้งออนไลน์ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราสังเกตเห็นคือจะพบสินค้าที่คล้ายในลักษณะเหมือน ๆ กัน ขายอยู่มากมาย แล้วแบบนี้ผู้ขายจะทำอย่างไรให้สินค้ามีความโดดเด่นขึ้นมา เพื่อให้อยู่เหนือกว่าคู่แข่ง แม้จะขายสินค้าเดียวกันก็ตาม โดยการทำตามวิธีดีงต่อไปนี้ 1.ภาพของสินค้า ภาพของสินค้าเป็นส่วนสำคัญที่จะชวนดึงดูดให้คนเข้ามาดูสินค้า และนำไปสู่การตัดสินใจว่าจะซื้อดีหรือไม่ ดังนั้น รูปภาพที่ใช้ควรมีความชัดคุณภาพสูง ซึ่งบางทีอาจต้องใช้ช่างภาพมืออาชีพมาถ่ายในมุมที่อยากนำเสนอ เพื่อแสดงภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าผู้บริโภคกำลังซื้ออะไร และเขียนคำอธิบายสินค้าที่คิดว่าดีที่สุดในโลกลงไป 2.มีวิดีโอ แม้ว่า “รูปภาพ”จะเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสื่อสาร แต่ยังมีข้อจำกัด เพราะเป็นเพียงภาพนิ่งของสินค้าเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรดีไปกว่าวิดีโอ ดังนั้น คุณสามารถสร้างเอกลักษณ์โดยการแสดงรูปภาพสินค้าพร้อมกับวิดีโอ อีกทั้ง การศึกษาพบว่า ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้ามากขึ้น 64-85% หลังจากดูวิดีโอบนหน้าสินค้า 3.บล็อก คนขายสินค้ามักมองข้าม “บล็อก” เพราะมีความเชื่อว่าคนส่วนใหญ่มาเพื่อซื้อสินค้า ไม่ได้มาอ่านเรื่องราว แต่อีกมุมหนึ่ง “บล็อก” เป็นวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการทำตลาดอีคอมเมิร์ซ โดยคุณสามารถใช้เป็นช่องทางโปรโมทสินค้า สื่อสารกับผู้คน อัปเดตเรื่องราวบนพื้นที่ของคุณ 4.เสนอจัดส่งสินค้าฟรี การศึกษพบว่าหากคุณเสนอตัวเลือกระหว่างส่วนลด และการจัดส่งฟรี ลูกค้าส่วนใหญ่เลือกจัดส่งฟรี […]

การเป็น “คนเก่ง” มีความสามารถ ไม่มีใครเถียงกับสิ่งที่คุณเป็น แต่การไม่มี Connection ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน สุดท้ายก็ไปไม่รอด ระบบ Connection เป็นเครื่องมือสำคัญของผู้ประกอบการที่จะทำให้ธุรกิจที่เติบโต และประสบความสำเร็จในที่สุด แต่หลายคนยังคงประสบปัญหากับการสร้างเครือข่ายอย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าการเริ่มต้นทำธุรกิจอาจเป็นได้ทั้งความตื่นเต้น และน่ากลัว ตลอดจนเป็นเรื่องง่ายของผู้ก่อตั้งที่จะหมกมุ่นอยู่กับการบริหารกิจการในแต่ละวัน อย่างไรก็ตาม รู้หรือไม่ว่า หากคุณมี Connection สร้างเครือข่ายจะช่วยเพิ่มศักยภาพให้ธุรกิจบรรลุผลสำเร็จได้ และนี่จึงเป็นเหตุผลที่คุณควรมี Connection ไว้มาก ๆ สร้างความสัมพันธ์กับนักลงทุนที่มีศักยภาพ การค้นหานักลงทุน หรือผู้ร่วมลงทุนเป็นงานที่ท้าทายที่สุดอย่างหนึ่งของคนเป็นผู้ประกอบการ การมี Connection ส่วนตัวจะอนุญาตให้สร้างความสัมพันธ์กับบุคคลที่สามารถสนับสนุนธุรกิจของคุณให้มีศักยภาพดียิ่งขึ้น มากกว่าการเข้าถึงคนที่มีอารมณ์ “เย็นชา” ขยายความรู้ของคุณ การพูดคุยแลกเปลี่ยนแนวทางกับคนที่ไม่ใช่คู่แข่งโดยตรงของคุณ แต่อยู่ในสถานะเดียวกันคือ “ผู้ประกอบการ” หรือมีธุรกิจประเภทเดียวกันในตลาดอื่น ๆ จะทำให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์ สามารถเรียนรู้ นำมาปรับใช้ เพื่อให้เกิดแนวคิดใหม่ ๆ ขึ้นมา ตลอดจนรู้เทรนด์ของอุตสาหกรรมที่ทำอยู่ว่าจะเป็นอย่างไร เกิดความร่วมมือระหว่างกัน ในกรณีธุรกิจแบบ B2B ผู้คนมีแนวโน้มที่จะซื้อโซลูชันจากคนที่พวกเขารู้จักมากกว่า 4 เท่า หรือเกิดจากเพื่อนของเขาแนะนำมา ดังนั้น การมี […]

สไตล์ความเป็นผู้นำของคนเป็นซีอีโอ และพนักงาน ถือเป็นสัญลักษณ์ส่งเสริมให้บริษัท องค์กร หรือธุรกิจ ตอบสนองต่อวิกฤตที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าด้วยแนวทาง วิธีการ ปรัชญา จะเป็นเครื่องชี้วัดได้เป็นอย่างดีว่าจะสามารถนำพาองค์กรให้ผ่านพ้นสถานการณ์ที่เป็นอยู่ออกไปได้หรือไม่ สิ่งสำคัญของเรื่องนี้คือการเตรียมแผนรับมือ โดยผู้นำแต่ละคนก็จะมีวิธีจัดการตามสไตล์ตัวเอง ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 สไตล์ด้วยกัน ดังต่อไปนี้ 1.เผด็จการ ความเป็นผู้นำแบบเผด็จการจะมีความโดดเด่นที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนเลย คือผู้นำจะเป็นผู้ตัดสินใจฝ่ายเดียว ซึ่งก็มีข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป เช่น แนวทางนี้สามารถช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วในระหว่างเกิดวิกฤต อย่างไรก็ตาม ในด้านลบการตัดสินใจที่เร็วเกินไปทำให้นำไปสู่โซลูชันในการแก้ไขปัญหาที่แคบลง เนื่องจากขาดข้อมูลที่หลากหลายกับการทำได้ดีกว่านี้ อีกทั้ง การที่ผู้นำเป็นคนตัดสินใจอยู่ฝ่ายเดียวทำให้เกิดความรู้สึกขาดการสื่อสารกับพนักงาน ส่งผลกระทบต่อกำลังใจ และความเชื่อมั่นที่มีต่อองค์กรลดลง 2.ทำงานร่วมกัน ผู้นำในลักษณะนี้จะเน้นการทำงานแบบมีส่วนร่วม เป็นทีม และมีการพูดคุยกันอย่างเปิดเผยในช่วงวิกฤต ผ่านการแสวงหาข้อมูล, ระดมความคิด และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน โดยการดำเนินการแก้ไขปัญหาอาจมีความล่าช้า เพราะมีกระบวนการ แต่ก็เป็นสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงานในองค์กร และเกิดข้อผิดพลาดในการแก้ไขปัญหาน้อยที่สุด 3.พนักงานมาก่อน แนวทางนี้มีผู้บริหารระดับโลกใช้แล้วได้ผลได้หลาย ไม่ว่าจะเป็น Howard Schultz อดีตซีอีโอของ Starbuck และ J.W. Marriott Jr. ซีอีโอของ Marriott International ที่ถ่ายทอดสไตล์นี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ […]