จิตวิญญาณการตลาด ตอน “ใจ” แม่ค้า ต้องเด็ดเดี่ยว (๒) โดย อ.มานิต รัตนสุวรรณ


   ในบรรดาคุณสมบัติที่ยิ่งใหญ่ของผู้ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ผู้นำของโลก มหาเศรษฐี นักธุรกิจ ฯลฯ ผมว่าไม่มีอะไรเหนือกว่า คำว่า “ความอดทน” และใจที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว
 
   เหมือนคำพูดบิล เกตส์ที่พูดไว้คมลึก “ไม่ใช่ความผิดของคุณที่เกิดมาจน แต่เป็นความผิดของคุณที่ตายจน” ความจนไม่ใช่สิ่งที่น่าอับอาย ไม่ใช่ประวัติที่ต้องปกปิดใคร แต่มาดูผลสุดท้ายกันดีกว่า ความกลัวจนเป็นพลังไฟสำคัญที่ทำให้มนุษย์ตะเกียกตะกาย ต่อสู้ และผลสุดท้ายคือความสำเร็จ ความสำเร็จอะไร
 
   นั่นคือคำพูดเตือนสติของไอน์สไตน์ที่ว่า “Try not to be a man of success, but rather a man of value”  คำว่าความสำเร็จ มิใช่เพียงความร่ำรวยและเงินทอง แต่ต้องเป็นความสำเร็จที่มีคุณค่าต่อสังคมและส่วนรวมต่างหาก
 
   แต่ใครไม่เคยเกิดมาจน จะไม่รู้ว่าคนจนนั้นต้องมีความอดทนเพียงไร เมื่อเทียบกับคนที่เกิดมามีทุกอย่างพร้อม เพราะความอดทน คือ บทเรียนบทแรก ที่เราต้องเรียนรู้ ต้องฝึก ยิ่งถ้าคนจะคิดทำมาค้าขาย ก็ต้องยิ่งต้องมีความอดทนมากกว่าปกติ เพราะต้องถือคติด้านได้ อายอด จะทำหน้าบางไม่ได้ จะถูกโขลกสับ ดูถูกอย่างไรก็ต้องทน ไม่ปริปาก  ครับ ใจ คนจนผู้ยิ่งใหญ่
 
   ที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นชีวิตจริง ตั้งแต่เกิดมา ผมเห็นพ่อค้าแม่ค้าในตลาดบ้านนอกซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนจีนยากจนด้วยกัน ทำมาค้าขายลำบากมาก เพราะจะนั่งงอมืองอเท้าไม่ได้ ทุกคนก็มีร้านเล็ก ๆ พอ ๆ กัน มีลูกเต้าที่ต้องเลี้ยงดูทุกบ้าน แต่เราก็รู้จักกันทั้งตลาด เหมือนพี่เหมือนน้อง ที่ดีก็มี ร้ายก็มี ค้าขายก็แข่งกันไป แต่อะไรที่เกื้อกูลได้เขาก็ช่วยเหลือกัน แนะนำกัน เพราะมันก็จนเหมือนกันทั้งนั้น คนต่างจังหวัดจึงนิสัยไม่เหมือนคนกรุงเทพฯ คนกรุงเทพฯขนาดบ้านติดกันยังไม่คุยกันเลย บางคนก็ทะเลาะกันเสียอีก
 
   ผมเป็นเด็กจึงยังไม่ประสีประสาอะไร รู้แต่ว่าชีวิตมีแต่วิ่งเล่น กับเรียนหนังสือ ช่วยเหลือตัวเอง เพราะพ่อแม่ค้าขายทั้งวัน ไม่มีเวลาจะมาดูแลลูกหรอก แต่แน่นอน คนที่เป็นฮีโร่ของลูก คือแม่ของตนเองทุกคน เพราะพ่อจะไม่ค่อยมีเวลากับลูกเท่าไร แม่ผมก็เช่นเดียวกัน
 
   วันนี้ขออนุญาตเขียนถึงคุณแม่ผมด้วยความรักสุดซึ้ง ชื่นชมสุดซึ้งสักวัน ทั้งที่ท่านไม่อยู่หลายปีแล้ว แต่ท่านคือ Role Model นักสู้ข้างถนนที่มาจากไม่มีอะไร จนสุดขีด แต่ไต่เต้าขึ้นมาด้วยลำแข้ง สองมือสองแขนหนึ่งสมองจนเป็นที่กล่าวขวัญในตลาด เรื่องสู้ ขยัน จนพลิกโอกาสให้เป็นทองได้
 
แม่เล่าว่า แม่มาแต่งงานกับพ่อ ไม่มีสมบัติติดตัวอะไรมาเลย พ่อเป็นเสมียนโรงสี ทำงานอยู่กับญาติซึ่งเป็นเจ้าของโรงสีใหญ่ แต่งงานบ้านก็ไม่มีจะอยู่ ญาติผู้ใหญ่ก็เลยเมตตา ให้ห้องแถวเล็ก ๆ หลังบ้านหลังใหญ่ซึ่งมียุ้งฉางเก็บข้าวในตัว ไม่น่าเชื่อเลย ชีวิตของแม่เหมือนหนังบ้านทรายทองเลย แต่คนละเวอร์ชั่น… แย่กว่านั้น ต่ำต้อยกว่านั้น เจ็บปวดกว่านั้น
 
   ความที่ญาติผู้ใหญ่ซึ่งเป็นเจ้าของโรงสีและมีธุรกิจดังและรวยที่สุดในตำบล บรรดาลูกหลานจึงมีทั้งดีทั้งร้าย ที่ดีใจหายก็มี แต่บางคนกร่างและชอบดูถูกคน ยิ่งคนที่เข้ามาอาศัยหลังบ้านไม่ได้จ่ายค่าเช่า แม่เล่าว่า มีคุณอาว์ผู้หญิงซึ่งเป็นเจ๊ใหญ่ลูกสาวคนโตมหาเศรษฐี ร้ายที่สุด โดยเฉพาะกับแม่ พยายามหาเรื่องทะเลาะ แกล้งแม่ ออกปาก ดูถูก ไล่ให้ออกจากบ้านพร้อมคำด่าทุกวัน เหมือนละคนน้ำเน่าช่อง ๓ เลย ทั้งที่แม่พยายามเจียมตัวที่สุด ไม่เคยไปทำอะไรเขาเลย ไม่เคยต่อล้อต่อเถียง พยายามเลี่ยง ไม่อยากมีเรื่องด้วย จนญาติผู้ใหญ่อาม้า(ย่า)ใจอารีย์ต้องเข้ามาปกป้องห้ามปรามให้เป็นประจำ
 
   แต่ในที่สุด วันหนึ่งแม่ก็ทนไม่ไหว บอกพ่อว่า ขอไปตายเอาดาบหน้าเถอะ ขอไปเช่าห้องถูก ๆ ในตลาด แล้วแม่จะขอทำมาหากินช่วยตัวเอง
 
   พ่อไม่รู้จะห้ามอย่างไร เพราะยังเป็นแค่ลูกจ้างเขา แถมต้องอาศัยบ้านเขาอยู่ และเขาเป็นลูกมหาเศรษฐี เสียงจึงดัง วางอำนาจ สุดท้ายแม่ก็ “ใจเด็ดเดี่ยว” หอบผ้าหอบผ่อนไปตั้งต้นชีวิตใหม่ เป็นแม่ค้าขายน้ำแข็งใสในตลาดหน้าสถานีรถไฟเล็ก ๆ มีกันอยู่ไม่กี่ห้อง อยู่ติดกับพี่สาวคนโตและน้องชายคนเล็ก ครับ…ความอดทนของมนุษย์ก็มีวันสิ้นสุดเหมือนกันนะ
 
   แม่เล่าว่าเมื่อตอนผมเกิด แม่บอกว่าฝนตกใหญ่ ฟ้าร้องเปรี้ยงปร้าง เพราะเป็นตอนใกล้รุ่งสาง ปรากฎว่าน้ำท่วมพื้นบ้านซึ่งเป็นดินทั้งหมดและเป็นห้องแถวไม้ซอมซ่อชั้นเดียว พี่น้องแม่ต้องมาช่วยหอบหิ้วกันใหญ่ทุลักทุลีเพื่อหนีน้ำท่วม ทั้งที่แม่เพิ่งคลอดลูก นี่คือชีวิตจริงที่ไม่เห็นต้องปิดบังหรืออายใคร
 
   แต่แม่ก็สู้ชีวิตแบบสุดใจขาดดิ้น พยายามดูว่าเขาค้าขายอะไรกันก็เลียนแบบเขาบ้าง สุดท้ายแม่ก็เปลี่ยนจากขายน้ำแข็งใสไปเป็นแม่ค้าขายผัก ต้องไปรับผักที่อีกสถานีรถไฟหนึ่งแล้วก็หอบเข่งผัก ใส่ตู้รถไฟที่ไม่มีหลังคา ตากแดดเหมือนแม่ค้าคนอื่น ๆ ผมอายุแค่เดือนเดียว ตัวยังแดง ๆ ก็อยู่ในเข่งผักแล้วมีผ้าขาวม้าบังแดด นอนร้องไห้จนเงียบหายไปเลย
 
   แม่เล่าว่า ตอนนั้นได้ยินเสียงร้องนิดหน่อย แต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเพราะกำลังพะวงต้องระวังหอบเข่งผักรีบลงรถไฟ แต่พอลงมาจากรถไฟ ก็หอบลูกมาเข้าที่ร่ม เห็นลูกเงียบไม่ร้องเลย ตกใจพยายามปลุกเท่าไรก็ไม่ตื่น แม่ก็เริ่มตกใจแล้วร้องไห้ ร้องให้คนมาช่วยดูกันใหญ่ว่าลูกฉันตายหรือยัง ปรากฏว่าสักพักผมก็ลืมตาตื่นขึ้น  เข้าใจว่าร้องจนหมดแรงแต่สู้เสียงรถไฟไม่ได้และตอนนั้นคงหิวเต็มทีเลยหมดแรงหลับไป
 
   แม่เล่าว่าแม่ดีใจใหญ่น้ำตาไหลกอดผมแน่นเลย เพราะตอนนั้นมีลูกชายคนเดียว ครับ นี่แหละ ความการฝึกความอดทนของผม…เริ่มตั้งแต่อายุเดือนเดียว
   ยังครับยังไม่จบ พบกันใหม่นะครับ ชีวิตต้องสู้ของคนจนที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ ยิ่งกว่านิยาย  

อ.มานิต รัตนสุวรรณ                                                 

ประธานสถาบันการตลาดเพื่อสังคมแห่งประเทศไทย     

manit88@hotmail.com