จิตวิญญาณการตลาด ตอน “ใจญี่ปุ่น…นักการค้าเลือดบูชิโด” โดย อ.มานิต รัตนสุวรรณ


ใครไม่เคยค้าขายกับคนญี่ปุ่น จะไม่รู้ว่า คนญี่ปุ่นเป็นคนที่นิสัยงาม อ่อนน้อม น่ารักและลึก ๆ จิตใจแข็งเหมือนหิน แต่ถ้าเราพิสูจน์ให้เขาเห็นว่า เรามีความจริงใจ ซื่อสัตย์ และทำงานถวายชีวิตให้เขา ให้กับองค์กรของเขา เขาก็จะปฏิบัติต่อเราเช่นเดียวกัน เมื่อตอนทำบริษัทโฆษณา ผมเคยมีลูกค้าเป็นชาวญี่ปุ่นแท้ ๆ  เป็นผู้บริหารจักรยานยนต์ซูซูกิ มาจากญี่ปุ่นโดยตรง โชคดีมากที่คุณชุมพล พรประภา ซึ่งรักนับถือกันดี ช่วยแนะนำให้ ผมก็ไปขอเสนองานเพื่อแข่งขันกับเอเยนซีญี่ปุ่น ซึ่งถือว่ายากแสนยาก โอกาสน้อย เพราะสินค้าญี่ปุ่นก็ต้องใช้เอเยนซีโฆษณาญี่ปุ่น ผมเป็นเอเยนซีโฆษณาไทย เกิดใหม่เสียด้วย แต่ผมก็สู้ขาดใจ เตรียมพรีเซ็นเตชั่นแบบถวายชีวิต

     โชคดีชั้นที่สอง เพราะ เอสพีไอ ของคุณชุมพล พรประภา เป็นเอเยนต์ใหญ่สุด มีบทบาทสูงและญี่ปุ่นให้เกียรติและเกรงใจ ช่วงนั้นจักรยานยนต์ที่แข่งกันเป็นเจ้าตลาด คือ ฮอนด้ากับ ยามาฮ่า ซึ่งนำห่าง ซูซูกิ ซึ่งมาเป็นที่สาม
 
     แต่สุดท้ายเราก็โชคดี ได้ลูกค้าซูซูกิ ซึ่งตอนนั้น สปาแอดเวอร์ไทซิ่ง เป็นเอเยนซีไทยเกิดใหม่ ยังมีลูกค้าใหญ่คือ โอสถสภา บริษัทแม่เป็นหลัก ต้องยอมรับว่า เสียงของคุณชุมพล มีส่วนสำคัญและมือการตลาดตอนนั้นของเอสพีไอ คือ คุณสุรินทร์ ธรรมนิเวศ เพื่อนสนิทของผม ซึ่งกลับกัน เพราะตอนผมอยู่เครือซิเมนต์ไทย ผมเป็นลูกค้า คุณสุรินทร์ เป็นเอเยนซี และเราทำงานกันมาด้วยความเอื้ออารีต่อกันดีมาตลอด
 
     ผมว่าชาวญี่ปุ่นเป็นคนที่ให้เกียรติลูกค้า ซึ่งถือเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน ถ้าคนไทยเอาด้วย คนญี่ปุ่นเขาก็จะให้เกียรติ ไม่เพียงแต่ได้สองเสียงจากเอสพีไอรวมถึงพี่น้องในตระกูลประภาของคุณชุมพลทั้งหมด แต่ลูกค้าใหญ่แห่งปักษ์ใต้ คือ บ้านซูซิกิ คุณบุญเลิศ ก็ชอบงานของเราด้วย
 
     แต่เราก็ไม่ทำให้ลูกค้าผิดหวัง จำได้เป็นปีที่ซูซูกิ ออกสินค้าใหม่ เป็น New Model ชื่อ Suzuki Love RC 80 ซึ่งผมก็เขียนสคริพท์หนังเอง กำกับเอง และลุยทำให้อย่างถวายชีวิต จนถูกใจทีมญี่ปุ่นและชาวซูซูกิ ซึ่งเป็นคนไทยกลายมาเป็นเพื่อนรักกันในภายหลัง ผมทำ มัลติวิชั่น จอยาว ๒๐ เมตร ใช้เครื่อง ๒๐ เครื่อง ถือว่าทันสมัยและยิ่งใหญ่ที่สุดในตอนนั้น เขียนสคริพท์เอง ลงมือเอง ทำจนถึงเช้าไม่ได้นอนหลายคืน เรียกว่าทำจนเห็นพระเดินมาบิณฑบาตตอนเช้า ตอนนั้นออฟฟิสเราอยู่หน้าหมู่บ้านเสรี
 
     ชาวซูซูกิกับเอสพีไอแอบมาให้กำลังใจหลายครั้ง ครับ นี่คือการทำงานเป็นแบบอย่างที่ดีที่สุด จากใจถึงใจ ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน แม้เราเป็นเอเยนซีใหม่แต่มือเก่าทุกคนเชื่อมือ เราจึงพลาดไม่ได้ เพราะนี่คือการเป็นการเปิดตัวสินค้าใหม่ที่ทุกคนฝากความหวังไว้มาก
 
     เราเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ที่โรงแรมบางกอก จัดห้องอย่างสวยงาม เตรียมรับลูกค้าเอเย่นต์ทั่วประเทศ ผมทำเป็น ๓ มิติ ตอนเปิดตัวสินค้า จากมัลติวิชั่นในจอ จากภาพนิ่งกลายเป็นด๊านเซอร์สวยงามเคลื่อนไหวได้ แล้วสินค้าก็ปรากฏตัวอย่างยิ่งใหญ่ เราซ้อมแล้วซ้อมอีก ไม่มีปัญหา
 
     และเราก็เปิดงานอย่างอลังการทุกอย่างเดินมาด้วยดีตามสคริพท์ ถึงตอนสำคัญ จะต้องฉายมัลติวิชั่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ผมให้ลูกทีมนิ่งสงบอย่าเคลื่อนไหว แต่เตรียมพร้อมที่แท่นสไลด์ทุกเครื่อง พร้อม…เดินเครื่อง มีใครไม่ทราบเดินเตะสายไฟ เสียงดังแชะ ผมใจหายวาบ ไฟดับหมด คอมพิวเตอร์ไม่ทำงาน (คอมพิวเตอร์ยุคนั้นโบราณมาก เกิดอะไรขึ้นจะภาพถอยหลังตีกลับหมด ผมรู้ดี)
 
     ในนาทีวิกฤต ผมตัดสินใจทำโดยไม่รู้ตัว ตะโกนบอกว่าทุกคนอย่าเคลื่อนไหวนะ เปิดเครื่องใหม่ แล้วผมก็ตัดสินใจยกเลิกระบบคอมพิวเตอร์ แล้วใช้ระบบ Manual แทน ก็ผมทำเองกับมือทำมาเป็นเดือนแล้วนี่นา ใจนิ่งสนิท ท่ามกลางความใจหายใจคว่ำของทีมงานทั้งหมด แต่ลูกค้าหน้าจอไม่รู้เรื่องเลย ปรากฏว่าผมใช้ภาพเป็นพัน ๆ ภาพ เพลงทุกเพลง ทุกตอนผมจำได้หมดโดยไม่รู้ตัว ผมก็เดินภาพด้วยมือทั้ง ๑๕ นาที ไม่หลุดเลย สอดคล้องกับคิวการแสดงเป็นอย่างดี ทุกอย่างจบอย่างสวยงาม ลูกค้าปรบมือสนั่นหวั่นไหว
 
     แต่พอเสร็จผมแทบล้มทั้งยืน ลูกน้องเข้าเฮมาดีใจกันใหญ่ จากนั้น ลูกค้าซูซูกิมาแสดงความยินดีและตกใจมากเมื่อรู้ว่าคอมพิวเตอร์ไม่ทำงาน ถามคำเดียว แล้วทำได้ยังไง ผมก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน รู้อย่างเดียวมัลติวิชั่นราคาหลายล้านพัง ผมพัง งานพัง ลูกค้าก็พัง…นี่คงคุณพระช่วย นี่เป็นผลจากการทำงานหามรุ่งหามค่ำ กินนอน อยู่ตรงนั้น จนจำภาพได้หมดทั้งพันกว่าภาพโดยไม่รู้ตัว
 
     ผลปรากฏว่าสินค้าได้รับการตอบรับจากเอเยนต์ทั่วประเทศอย่างล้นหลาม ลูกค้าจองกันเต็มไปหมด ผู้บริหารญี่ปุ่นหน้าบานทุกคน และพอทุกคนมาทราบว่าเกิดแอ็คซิเด็นท์ ผมต้อง Run มัลติวิชั่นด้วยมือ ก็เข้ามาขอจับมือกันใหญ่ และที่น่าดีใจยิ่งกว่านั้นคือ คือ เป็นครั้งแรกที่จักรยานยนต์ซูซูกิรุ่นนั้น ขายดีเป็นอันดับหนึ่งในตลาดช่วงนั้น เป็นข่าวดีไปถึงสำนักงานใหญ่ที่ญี่ปุ่น
 
     สิ่งที่ผมเรียนรู้คือ ถ้าผมทำงานด้วยใจ สิ่งที่ได้คือ ใจ ของคนญี่ปุ่น ผู้บริหารญี่ปุ่น ซึ่งจากนั้นมาเราก็สนิทสนมกัน ทำงานด้วยความราบรื่น วันหนึ่ง มีงานสำคัญ ๆ ที่ต้องตัดสินใจรีบด่วนมาก ไม่มีเวลาเอาไปให้ดูถึงรังสิต ผู้บริหารระดับสูงจะพูดคำเดียว ให้คุณมานิตดูแล้ว ตัดสินใจแทนไปได้เลย เขาไม่ต้องดูก็ได้ ลูกน้องของเขาเองก็ยังงง นี่คือใจญี่ปุ่น ทาคาฮาชิซัง ที่ผมต้องคารวะ
 
     สิ่งที่ผมเรียนรู้จากงานซูซูกิ ปรากฏว่าเมื่อผมถูกย้ายให้มาเป็นผู้อำนวยการตลาด สินค้า ลิโพวิตันดี กลับกันกลายเป็นประสบการณ์อย่างดีอีกแบบหนึ่ง เพราะก็ต้องเจอญี่ปุ่นในอีกสไตล์หนึ่ง ซึ่งแสนสาหัส เหี้ยม อึด ให้ประชุมที่โตเกียวจากบ่ายถึงเกือบ ๔ ทุ่ม ข้าวเย็นก็ไม่ให้กิน หิวก็หิว เพราะตกลงกันไม่ได้ สู้กันด้วยเงินเพียง ๕๐ สตางค์ ไม่มีใครถอย เขาก็ไม่ถอย ผมก็ไม่ถอย…เอาซิ
 
     เอาไว้เล่าในฉบับหน้านะครับ
 
                                                                                                           อ.มานิต รัตนสุวรรณ
                                                                                   ประธานสถาบันการตลาดเพื่อสังคมแห่งประเทศไทย
                                                                                                       manit88@hotmail.com