นโยบายจีนชี้ชัดเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าการปฏิรูปเศรษฐกิจ : รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์


ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการประชุมสภาประชาชนประจำปีของประเทศจีน ซึ่งโดยปกติจะจัดขึ้นปีละครั้งโดยมีผู้เข้าร่วมประกอบด้วยตัวแทนประชาชนทั่วทั้งประเทศซึ่งในการประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 3,000 คน ในการประชุมดังกล่าวจะมีลักษณะคล้ายกับการแถลงนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในรัฐสภาทุกต้นปี ซึ่งเรียกว่า State of Union ในการประชุมสภาประชาชนจีนก็เช่นกัน มีการเปิดโอกาสให้รัฐบาลแถลงนโยบายที่จะมีการดำเนินการในอนาคต การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญมากเพราะเป็นการแถลงทิศทางนโยบายของจีนภายในกรอบยุทธศาสตร์ 5 ปี (2016-2020) หรืออีกนัยหนึ่งคือเป็นการแถลงแผนพัฒนาของประเทศในกรอบ 5 ปีจากนี้ การประชุมดังกล่าวถือว่ามีความสำคัญพิเศษอีกประการคือ จีนกำลังเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจ โดยมีอัตราการเติบโต 6.9% ในปีที่ผ่านมา ซึ่งก็ถือเป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบ 25 ปี อีกทั้งมีการดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจขนานใหญ่ การประชุมครั้งนี้จึงได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเป็นอย่างมาก

 

ประเทศจีนกำลังเผชิญกับปัญหาหลายประการ อันประกอบด้วย

 

1. ประเทศจีนกำลังเผชิญปัญหาลูกโป่งในตลาดอสังหาริมทรัพย์และในตลาดหุ้นซึ่งส่งผลกระทบขยายตัวเป็นปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ทั้งใน Shadow Banking และระบบธนาคารทั่วไป อีกทั้งหนี้ที่ไม่ก่อรายได้ในภาครัฐวิสาหกิจและรัฐบาลท้องถิ่น ความจริงหนี้ของภาครัฐสูงเพียง 44% ของ GDP เท่านั้น แต่ถ้ารวมหนี้ทั้งระบบจะสูงถึง 250% ของ GDP ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา

 

2. ประเทศจีนกำลังเผชิญปัญหาในเรื่องความสามารถในการแข่งขันสืบเนื่องจากค่าแรงที่แพงขึ้นอันเป็นผลจากเศรษฐกิจขยายตัวถึง 10% ติต่อกันถึง 3 ทศวรรษ ก่อนที่จะอ่อนตัวลงเหลือ 7% ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ค่าแรงที่แพงขึ้นนี้ทำให้สินค้าจีนไม่สามารถแข่งขันกับคนอื่นได้ ประเทศจีนจำเป็นต้องปรับด้วยการหันมาพัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่มและพัฒนาการสินค้าบริการ

 

3. การส่งออกของประเทศซึ่งทรุดตัวลงนั้นส่วนหนึ่งมาจากค่าแรงที่แพงขึ้น แต่ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวในอัตราที่อ่อนแอ อีกทั้งโดนเล่นงานจากภาษีต่อต้านการทุ่มตลาด (Anti-Dumping) จากทั้งอเมริกาและสหภาพยุโรป

 

ในการแก้ไขปัญหาทั้ง 3 ข้อ ประเทศจีนต้องดำเนินมาตรการ 2 ด้านที่ต้องมีความสมดุล ด้านหนึ่งคือ ต้องชะลอการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อไม่ให้เกิดการระเบิดของลูกโป่งในภาคอสังหาริมทรัพย์และการระเบิดของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ อีกทั้งต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจากการพึ่งพาการส่งออกมาสู่การกระตุ้นการขยายตัวของการบริโภคภายใน เปลี่ยนจากการเน้นการผลิตมาสู่การเน้นด้วนบริการและอีกด้านหนึ่งรัฐบาลจีนจำเป็นต้องรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจให้อยู่ในลักษณะที่เพียงพอ คือ ไม่ให้ต่ำจนเกินไป โดยประมาณการคือ จะมีแรงงานเข้าสู่ระบบปีละ 10 ล้านคนต่อปี จีนจะต้องพยายามให้อัตราการว่างงานไม่สูงไปกว่า 4.5% ต่อปี มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาสังคมและการเมืองตามมา กล่าวอีกประการหนึ่ง ประเทศจีนต้องดำเนินดุลยภาพระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจและการปฏิรูปเศรษฐกิจ ในการประชุมครั้งนี้ นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศจึงจับตาว่า นโยบายยุทธศาสตร์ 5 ปีนี้จะรักษาดุลยภาพดังกล่าวหรือไม่ หรือจะเอียงเอนไปทางด้านหนึ่งระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจและการปฏิรูปเศรษฐกิจ

 

ในการประชุมครั้งนี้ แนวนโยบายที่ประกาศออกมาโดยนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง คือ

 

1. เป้าหมายเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวในกรอบ 6.5-7% ในช่วงนี้ถึง 5 ปีหน้า จะเห็นได้ว่าเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลจีนไม่กล้าระบุชัดถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อปีซึ่งแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลจีนยังมีความไม่แน่ใจในการรักษาอัตราการเติบโตซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีการวิเคราะห์พลาดเป้าไปทุกครั้ง จากการประกาศครั้งนี้จะเห็นได้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจะขยายตัวในอัตราที่ช้าลงไปกว่าปัจจุบัน ตัวเลข 6.5% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเกริ่นไว้ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม IMF และนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของโลก 35 คน มีความเห็นตรงกันว่า เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวเฉลี่ย 6.3-6.4% หรือต่ำกว่านี้ในอนาคต

 

2. ประเทศจีนได้กำหนดการเพิ่มการขาดดุลงบประมาณจาก 2.3% ในปีที่ผ่านมาเพิ่มเป็น 3% ของ GDP ซึ่งแสดงให้เห็นว่า จีนยังเห็นความจำเป็นในการเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อป้องปรามปัญหาทางสังคมและการเมือง

 

3. งบประมาณของจีนในด้านความมั่นคงจะเพิ่มขึ้น 7.6 % ซึ่งแม้จะต่ำกว่าปีที่แล้วที่เพิ่ม 10.1% ก็ตาม แต่ก็ถือเป็นตัวเลขที่สูง เนื่องจากจีนมีความจำเป็นต้องรักษาเสถียรภาพทั้งภายในและภายนอกเพื่อถ่วงดุลอเมริกา อย่างไรก็ตามที่น่าสังเกตคืองบประมาณด้านสวัสดิการสาธารณะเพิ่มขึ้นเป็น 5.3% ซึ่งสูงกว่าปีที่แล้ว 1% การเพิ่มขึ้นดังกล่าวสะท้อนว่า รัฐบาลจีนยังเป็นห่วงเรื่องปัญหาทางสังคมโดยเฉพาะการประท้วงและความไม่พอใจในกรณีที่เศรษฐกิจชะลอตัว

 

4. รัฐบาลจีนได้ประกาศยุบธุรกิจประเภทซอมบี้ กล่าวคือ พวกโรงงานหรือธุรกิจที่อยู่ในภาวะขาดทุนและมีกำลังการผลิตเกินความต้องการ เช่น ซีเมนต์ แก้ว รวมทั้งถ่านหิน และเหล็ก ซึ่งนำไปสู่การลดกำลังคนถึง 1.8 ล้านคน รัฐบาลจีนได้กำหนดเป้าหมายในการบริโภคถ่านหินให้อยู่ใน 5 พันล้านตันต่อปี

 

5. รัฐบาลจีนได้ประกาศว่าจะมีการสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานทั้งถนนและการขนส่ง ทั้งนี้เพื่อชดเชยกับแรงงานที่ถูกโละทิ้งไป โดยมีการกำหนดงบประมาณในการสร้าง 8 แสนล้านหยวนสำหรับทางรถไฟ และ 1.65 ล้านหยวนสำหรับการสร้างถนน

 

โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่า การประชุมครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลจีนยังให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าการปฏิรูปเศรษฐกิจ ในความเห็นของนักลงทุนและนักวิเคราะห์ต่างประเทศ อีกทั้งแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลจีนยอมรับว่าเศรษฐกิจจีนยังอยู่ในภาวะอ่อนแอและต้องเผชิญภัยคุกคามทั้งจากต่างประเทศและภายในประเทศซึ่งต้องใช้เวลาในการเยียวยา สิ่งที่พอสรุปได้คือ เศรษฐกิจจีนใน 3-4 ปีนี้ ยังคงเป็นปัญหาของเศรษฐกิจโลกและสามารถสร้างความปั่นป่วนให้ตลาดการเงินระหว่างประเทศอีกหลายครั้ง