อาเซียนและประเทศจีน เป็นพันธมิตรทางการค้ากันมาอย่างช้านาน จนถึงปัจจุบันก็ยังมีการทำการค้ากันอยู่ และในอีกไม่นานนี้ ทั้ง 10 ประเทศจะมีการรวมกันเปิดเป็นการค้าเสรี ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งนั่นจะทำให้สินค้า และเม็ดเงินเกิดการหมุนเวียนมากยิ่งขึ้น ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่
นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย ไดจัดงานสัมมนา จีน-อาเซียน เสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ก้าวสู่ความรุ่งเรืองแห่งภูมิภาค เพื่อให้ความรู้ทางเศรษฐกิจแก่นักธุรกิจไทยและจีน ทั้งนี้มี ฯพณฯ หนิง ฟู่ขุ่ย เอกอัครราชทูตแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และศ.ดร.สุรเกียรติ เสถียรไทย ประธานคณะมนตรีเพื่อสันติภาพและความปรองดองแห่งเอเชีย (APRC) ร่วมปาฐถกาพิเศษ โดยนายบัณฑูร ล่ำซำกล่าวถึงปลายปี 2558 จะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนว่า “สินค้าจะหมุนเวียนมากขึ้น เป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เพื่อสร้างทศวรรคอันเล่อค่า ครอบคุมการค้าจีนและอาเซียน ประเทศอาเซียนจึงต้องเพิ่มพูนความภาคภูมิ และความไว้วางใจซึ่งกันและกันในด้านความร่วมมือ และการทำการค้าระหว่างประเทศ”
ตามด้วย ศ.ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย แนะว่าปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของประเทศไทย และประเทศจีนว่า “เราต้องเข้าใจยุทธศาสตร์ของทั้ง 2 ประเทศ เข้าใจถึงความแตกต่างของกันและกัน จากนั้นวางแผนการทำงาน ทำการค้า ซึ่งต้องมีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และร่วมมือในการลดความเสี่ยงพร้อมแก้ไขปัญหารวมกัน ลดความหวาดระแวง และกระชับทุกกลไกของจีน กับประเทศในอาเซียนทั้งหมด สร้างความร่วมมือให้เป็นรูปธรรมให้ได้”
อนึ่งจากการอภิปรายเรื่อง ความร่วมมือทางเศรษฐกิจจีน-อาเซียนเพื่อการพัฒนาแบบเอื้อประโยชน์ร่วมกัน เศรษฐกิจของประเทศจีนในช่วงเวลานี้ถือว่าค่อนข้างดี ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะมีการชะลอตัวลง โดยนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของสาธารณรัฐประชาชนจีน มีนโยบายด้านเศรษฐกิจ คือ จีนต้องเติบโตขึ้น 7.5% และมีอัตราการจ้างงาน 10 ล้านอัตรา ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร และนักวิชาการส่วนใหญ่บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าการเติบโตของเศรษฐกิจต้องไม่ต่ำกว่า 6% อย่างแน่นอน นอกจากนี้รัฐยังจะมีการส่งเสริมและให้โอกาสผู้ประกอบการในจีนมากขึ้น คาดว่าภายในปีนี้ ประเทศจีนจะสามารถบรรลุแผนระยะกลาง และแผนระยะยาวได้ ซึ่งการเติบโตของประเทศจีนจะสามารถช่วยเอื้อประโยชน์ต่อการทำการค้าในอาเซียนให้เติบโตไปด้วยกันได้ ทั้งนี้ผู้ประกอบการเองก็ควรตะหนักถึงทักษะทางภาษาจีน และภาษาอังกฤษให้มากขึ้น เพราะการสื่อสารถือเป็นส่วนสำคัญในการทำธุรกิจ หากสื่อสารกันไม่รู้เรื่องจะสามารถทำการค้ากันได้อย่างไร สำหรับประเด็นรื่อง การเปิดเส้นทางความรุ่งเรืองจากไทยสู่ภูมิภาค ซึ่งหลังจากที่มีการเชื่อมโยงกันเป็นกรอบอาเซียนแล้ว การเดินทางจะไร้พรมแดน โดยประเทศไทยถือว่าเป็นศูนย์กลางของอาเซียน มีพื้นที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านในหลาย ๆ ประเทศ ถือได้ว่าเป็นข้อได้เปรียบในด้านการคมนาคม ส่งผลให้ประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะสามารถดึงดูดผู้ประกอบการทางด้านซัพพลายเชน และโลจิสติกส์ได้มากขึ้น นอกจากนี้เศรษฐกิจของไทยได้ดีขึ้นมาจากปีที่แล้วมาก ซึ่งมีผลคาดการณ์ว่าไตรมาสที่ 3 -4 การส่งออกจะเติบโตมากขึ้น และคสช. ได้ส่งเสริมให้มีท่องเที่ยวมากขึ้น ส่งผลให้จะมีเม็ดเงินหมุนเวียนเข้ามาในประเทศได้มากขึ้น ถือได้ว่าเป้นการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ธนาคารกสิกรไทยยังมีโครงการปลดล็อคข้อจำกัดการทำธุรกรรมของผู้ประกอบการทั้งนำเข้า และส่งออก ผ่านทางเลือก “ธุรกรรมเงินหยวน” RMB Settlement เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถทำการค้าระหว่างประเทศไทย และจีนได้สะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งรวดเร็ว ประหยัดต้นทุน และสามารถเข้าถึงคู่ค้าที่เป็นคนจีนได้มากขึ้น สามารถสร้างความสะดวกสบายให้แก่ผู้ประกอบการได้ไม่น้อยเลยทีเดียว อย่างไรก็ดีการทำธุรกิจใด ๆ ก็ตามการสื่อสาร และความสะดวกสบายในการทำมาค้าขาย ถือเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้บริโภคเลือกหรือไม่เลือกซื้อสินค้า การเอื้อความสะดวก เป็นสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้รองจากคุณภาพของสินค้าและบริการ ที่ผู้ประกอบการควรคำนึงถึง เป็นต้น