กรมการค้าต่างประเทศ จัดเสวนาหัวข้อ “ปฏิรูปส่งออกไทยอย่างไร เมื่อไร้ GSP สหภาพยุโรป”


            ต้นปีหน้าไทยถูกตัด GSP สินค้าหลายรายการที่เคยได้เปรียบทางด้านภาษี จำต้องแบกรับมากขึ้น ผู้ประกอบการไทยจะหาทางออกอย่างไร ทางกรมการค้าต่างประเทศได้เชิญผู้เกี่ยวข้องมาช่วยหาทางออก

โดยในงานกล่าวถึงเรื่องที่ไทย ถูกตัดสิทธิ GSP จากสหภาพยุโรป พร้อมทั้งแนะแนวทางแก้ปัญหารวมถึงการปรับตัวจากนักวิชาการทางด้านเศรษฐกิจ  นางสาวมณฑา   พันธุ์ทอง  นักวิชาการพาณิชย์ชำนาญการพิเศษ  และนักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาดังกล่าวได้แก่  ดร.ชนินทร์  ชลิศราพงศ์  นายกสมาคมทูน่าไทย  นายชาติชาย  สิงหเดช  ผู้อำนวยการบริหารสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย  และ  Mr. Emmanuel  Cibla ผู้จัดการบริษัท Essilor Manufacturing (Thailand)

             นางสาวมณฑา  กล่าวว่า เหตุที่ไทยถูกตัด สิทธิทางภาษี GSP เพราะ ณ ตอนนี้ ไทยมมีรายได้ประชาชาติ(High Income) ที่สูงขึ้นมากจนเกินระดับ Upper  Middle  Income  ซึ่งหมายถึงประเทศไทยมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจมากขึ้นจนถึงระดับที่ไม่ต้องรับการช่วยเหลือทางภาษี ดังนั้น  วันที่ 30 ตุลาคม 2013 สหภาพยุโรปจึงได้ทำการปรับปรุงรายชื่อประเทศผู้รับสิทธิ GSP ขึ้นใหม่ และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557  โดยมีประเทศที่ถูกระงับสิทธิ 4 ประเทศ  ได้แก่ จีน  เอกวาดอ ไทย และมัลดีฟส์  ซึ่งสินค้าไทยทุกชนิดไม่สามารถใช้สิทธิฯได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม  2558  เป็นต้นไป  ส่วนสินค้าสำคัญของไทยที่จะต้องเสียภาษีเพิ่มจากเดิมที่เสียเพียง 0% ได้แก่  ยานยนต์ขนส่ง เพิ่มขึ้น  3.5-22%   ยางนอกรถยนต์ 4.5%  เลนส์แว่นตา 2.9%  เครื่องปรับอากาศ 2.2-2.7%  และถุงมือยาง 2.7%

นางสาวมณฑา  กล่าวต่อว่า  สินค้าที่ได้รับสิทธิ GSP ของสหภาพยุโรปจะต้องมีถิ่นกำเนิดในประเทศผู้ส่งออกที่ได้รับสิทธิ  ดังนั้นหากส่งสินค้าที่จะขอรับสิทธิฯ ดังกล่าวไปเก็บไว้ในประเทศที่สาม เพื่อแบ่งหีบห่อแล้วสามารส่งขายยังสหภาพฯนั้นสามารถทำได้ แต่สินค้าเหล่านั้นต้องอยู่ในความรับผิดชอบของประเทศผู้ส่งออก และต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของศุลกากรของประเทศที่สาม 

นอกจากนี้ทางสหภาพฯ ยังมีการยกเว้นภาษีศุลกากรเป็นการชั่วคราวสำหรับสินค้าที่เป็นวัตถุดิบจำเป็นในทวีปยุโรป โดยต้องไม่ใช่ สินค้าที่มีการผลิตเพียงพอในสหภาพยุโรป และสินค้าสำเร็จรูปที่ขายให้กับผู้บริโภคคนสุดท้าย     ซึ่งผู้ประกอบการ สามารถตรวจสอบว่าสินค้าใดได้รับการยกเว้นในรายการ  1387/2013  หากไม่พบ สามารถยื่นให้ทางสมาคมสหภาพฯพิจารณาว่าเป็นวัตถุดิบขาดแคลนหรือไม่ได้

“สุดท้ายภาครัฐขอแนะนำให้ลองมองหาตลาดลงทุนใหม่ หรือโยกย้ายจุดส่งออกจาก EU อีกทั้งคิดว่ารายชื่อประเทศที่ไทยได้ทำข้อตกลง FTA นั้นน่าสนใจเพราะตลาดเหล่านี้เปิดใหม่  มีความสามารถในการรองรับสินค้าไทยและมีสิทธิพิเศษทางภาษี”  นางสาวมณฑากล่าว

 

                นายชาติชาย  สิงหเดช  กล่าวว่า  สำหรับผู้ประกอบการที่เป็นผู้ผลิตผ้าสิ่งทอ แนะให้มีการขยายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อลดความเสี่ยงเรื่องภาษี พร้อมทั้งพัฒนาให้ตัวเองมีความน่านสนใจ  เพิ่มจุดขายให้มากขึ้น    รวมทั้งร่วมมือกับภาครัฐให้ส่งเสริมและสนับสนุนให้ไปลงทุนในต่างประเทศ   ส่วนผู้ประกอบการที่เป็นแบรนด์เสื้อผ้า ให้เน้นที่ตัวบุคลากรออกแบบแบรนด์ให้มีศักยภาพสูงขึ้น เพื่อพัฒนาแบรนด์พัฒนาสินค้าให้เป็นที่ยอมรับของตลาด  และสร้างให้ธุรกิจให้เป็นธุรกิจสากลเพื่อมุ่งไปสู่การค้าและการลงทุนในต่างประเทศ

                  Mr. Emmanuel  Cibla กล่าวว่า บริษัทเป็นผู้นำผลิตแว่นสายตา ซึ่งมีฐานการผลิตในเมืองไทยมากว่า 25 ปีและไทยเป็นประเทศที่สำคัญที่สุดในโลกสำหรับการผลิตแว่นสายตาระดับคุณภาพ  แว่นสายตาจึงเป็นสินค้าสำคัญที่ใช้ GSP จากเมืองไทยส่งออกไปยุโรป แม้อัตราภาษีเพียง 3% แต่ปริมาณการส่งออกนั้นสูงมาก ซึ่งการถูกตัดสิทธิ GSP  ทางบริษัทได้ปรับตัวอย่างแรกคือพัฒนา นวัตกรรมให้มีความน่าสนใจจนตลาดต้องการสินค้า  พร้อมทั้งพยายามลดต้นทุนด้วยการเอาขั้นตอนการผลิตที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อลูกค้าออกไป อีกทั้งได้สร้างโรงงานในประเทศลาวเพื่อเป็นฐานการผลิต แล้วใช้เมืองไทยเป็นฐานการส่งออก เพราะลาวมีค่าแรงและพลังงานที่ถูกกว่าพร้อมทั้งสามารถขนส่งผ่านชายแดนบริเวณ Free Zone ได้  สุดท้ายคือใช้วิธีส่งออกวัตถุดิบเข้าไปผลิตใน EU ซึ่งขณะนี้ทางสหภาพยุโรปกำลังเจรจาว่าวัตถุดิบของเราขาดแคลนหรือไม่  หากทางสหภาพฯอนุมัยติ ไทยและประเทศอื่นเช่นจีนจะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีสำหรับวัตถุดิบเลนส์แว่นตาทันที

                ดร.ชนินทร์  ชลิศราพงศ์  นายกสมาคมทูน่าไทย เล่าให้ฟังว่า  3-4  ที่ผ่านมาทูน่าเป็นสินค้าที่ มีภาษีสูงถึง 24% แม้จะมีสิทธิทางภาษี GSP ที่ทำให้เหลือ 20.5% แต่ก็ยังเป็นอัตราภาษีเกือบสูงที่สุดในบรรดาสินค้าที่ยุโรปนำเข้าจากไทย เพราะยุโรปมีอุตสาหกรรมทูน่าที่ใหญ่อยู่แล้ว  ซึ่ง ณ ตอนนี้อุตสาหกรรมทูน่าของไทยเป็นอันดับ 1 ของโลก มีปริมาณผลผลิตทั่วโลกเกือบ 30%  ด้วยกระบวนการนำวัตถุดิบจากประเทศทั่วโลกมาผลิตและส่งออก  ซึ่งผลผลิตจะบริโภคภายในประเทศเพียง 1 % แต่ส่งออกถึง 99%

                “ทางสมาคมเตรียมรับมือกับการถูกตัดสิทธิทางภาษีของสหภาพยุโรปมานานแล้ว ซึ่งแต่เดิม ตลาดยุโรปกับอเมริกา มีสัดส่วนเป็น 80% ของการส่งออกทั้งหมด   ปัจจุบัน ตลาดนี้เหลือเพียง 33 % ซึ่งในส่วนตลาดยุโรปหายไปถึง 28%  หากแต่ปริมาณการส่งออกรวมทั้งหมดกลับขึ้นถึง 8% แม้จะตัดส่วนของตลาดยุโรปออกไปก็ตาม เหตุเพราะได้กระจายตลาดออกสู่ประเทศอื่นทำให้มียอดคำสั่งซื้อมากขึ้น อีกทั้งยังมีต้นทุนทางภาษีที่ต่ำกว่า”   ดร.ชนินทร์กล่าว

                การถูกระงับสิทธิทางภาษี GSP ของไทย ส่งผลกระทบต่อภาคเอกชนผู้ส่งออกอย่างมาก  หากแต่ผู้ส่งออก สามารปรับตัวพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้แล้ว นอกจากจะหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายต้นทุนทางภาษีที่ต้องเสีย ยังอาจจะเพิ่มมูลค่าและประมาณการส่งออกได้อีกด้วย  ซึ่งกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ พร้อมที่จะสนับสนุนและให้บริการช่วยเหลือผู้ประกอบการ ในการวางแผน  เปลี่ยนแปลงขยายตลาด และการลงทุนในต่างประเทศต่อไปได้  เพื่อประสิทธิภาพในการส่งออกของไทยที่ยั่งยืน