หุ่นยนต์แย่งงาน อาชีพไหนปลอดภัยไปอีกนาน


อ่านกันมาเยอะว่ามีหลายอาชีพที่จะโดน หุ่นยนต์แย่งงาน คราวนี้มาอ่านข้อมูลดีๆ กันบ้างดีกว่าว่าอาชีพไหนที่จะถูกสงวนเอาไว้ให้มนุษย์อย่างเราๆ เท่านั้น

หมอและพยาบาล หุ่นยนต์แย่งงาน นี้ยาก

สัมผัสของคนต่อคนเป็นเรื่องจำเป็นในวงการแพทย์ ทำให้เป็นเรื่องยากที่เครื่องจักรจะมาทำงานแทนคนในส่วนนี้ได้ ในการจัดอันดับงานที่สามารถทดแทนด้วยระบบอัตโนมัตินั้นพบว่าอาชีพแพทย์และพยาบาลยังห่างไกลจากการถูกแทนที่ จริงอยู่ที่ความสามารถของเครื่องคอมพิวเตอร์ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทำการจ่ายยาทำการรักษาจะแม่นยำและดีขึ้นเรื่อยๆ แต่คนไข้ก็ยังไม่เชื่อมั่นที่จะรับการวิเคราะห์และรักษาจากสิ่งที่ไม่ใช่คนอยู่ดี ผู้ป่วยยังคนต้องการใครสักคนที่จะช่วยเขาด้วยความเข้าใจและใส่ใจ โดยเฉพาะการทำให้คนไข้ยอมรับในข่าวร้ายบางเรื่อง ซึ่งระบบอัตโนมัติยังทำเรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้ไม่ได้ แต่ระบบอัตโนมัติจะทำงานบางอย่างได้ดีกว่าคน อย่างเรื่องของการคำนวณการจ่ายยา หรือการวิเคราะห์ข้อมูลจากเครื่องเอ็กซ์เรย์ และเครื่องซีทีสแกน หรือแม้แต่การให้ยาและการอ่านข้อมูลจากเครื่อง MRI เพื่อดูการไหลเวียนของเลือดในหัวใจ งานที่อ่านข้อมูลจากเครื่องมือต่างๆ เหล่านี้ควรจะเป็นหน้าที่ของระบบอัตโนมัติ ส่วนคนควรจะไปเน้นที่การทำงานด้านอื่นแทน

โค้ชกีฬาระดับเยาวชน อันนี้ก็แย่งยากอยู่

การสร้างนักกีฬาในระดับเยาวชนเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะการจัดการกับเด็กวัยรุ่นไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงล้วนแล้วแต่ต้องมีวิธีในการจัดการแตกต่างกันออกไป การที่จะโค้ชนักกีฬาเหล่านี้ให้อยู่ในระเบียบวินัยได้นั้นต้องใช้หลักจิตวิทยาขั้นสูงจึงจะสามารถจัดการได้ เรื่องแบบนี้ต้องอาศัยประสบการณ์ของโค้ชในการทำงานร่วมกับเด็ก ซึ่งเรื่องแบบนี้หุ่นยนต์ไม่มีทางทำได้ เพราะหากปล่อยให้เด็กๆ เหล่านี้รับคำแนะนำจากระบบอัตโนมัติยิ่งจะทำให้ทุกอย่างแย่ลง ความเครียดจะมีเพิ่มมากขึ้น งานแบบนี้ต้องเป็นคนเท่านั้น

ช่างแต่งหน้าและช่างทำผม ยังอยู่ในโซนปลอดภัย

งานด้านนี้มีความพยายามมาระยะหนึ่งแล้ว ที่อยากให้หุ่นยนต์ทำการตัดผมและแต่งหน้าให้กับคน แต่เรื่องนี้ก็เข้าข่ายเป็นงานศิลปะเหมือนกัน หุ่นยนต์อาจจะทำได้ในรูปแบบที่กำหนดเท่านั้น แต่ไม่สามารถทำการออกแบบให้เข้ากับความเป็นหนึ่งเดียวของคนแต่ละคนได้ การตัดผมที่มีมากกว่า 150,000 เส้นบนหนังศีรษะไม่ใช่การเลือกตัดให้ทุกเส้นเท่ากัน ตรงกันข้ามช่างตัดผมอาจจะทำการตัดให้ทุกเส้นไม่เท่ากันเลยก็ได้ เช่นเดียวกับการแต่งหน้าหุ่นยนต์ตัวไหนจะทำการเลือกและลงเฉดสีที่เจ้าของใบหน้าต้องการได้ เรื่องแบบนี้คงอีกนานกว่าจะเลิกใช้คน

นักแต่งเพลง ก็ยังพอได้

หลายคนอาจจะยกตัวอย่างของคนเข้าแข่งขัน American Idol ปี 2004 ที่ใช้ระบบ AI ในการแต่งทำนองเพลงให้ ส่วนเนื้อร้องนั้นยังคงต้องแต่งเองอยู่ดี เพราะเรื่องของเนื้อร้องนั้นเต็มไปด้วยเงื่อนไขทางอารมณ์มากมายที่ AI ไม่มีทางเข้าใจ การเลือกคำหรือภาษาให้เข้ากับอารมณ์เพลงดูเหมือนจะเป็นเรื่องของคนเท่านั้นตอนนี้ แต่ถ้าเป็นการเขียนข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงอย่างผลการแข่งขันในกีฬาชนิดต่างๆ ที่ไม่ต้องการสำนวนที่หวือหวามากนัก ก็มีตัวอย่างของการทำเนื้อหาของผลการแข่งขันกีฬาของ Yahoo Sports ที่ใช้ AI รายงานผลไปแล้ว เนื้อหาการนำเสนอที่ตรงไปตรงมานั้น AI ทำได้ แต่คนเราทำได้ดีกว่านั้นเยอะ

นักสังคมสงเคราะห์ หุ่นยนต์หมดสิทธิ์

งานที่ต้องใช้เรื่องของอารมณ์และความรู้สึกนั้น AI ไม่น่าจะทำได้ดีกว่าคน เพราะขึ้นชื่อว่าปัญญาประดิษฐ์ย่อมต้องเป็นการตัดสินใจจากข้อมูลที่มีอยู่และทำการตัดสินใจแบบมีเหตุผล ต่างจากงานที่ต้องใช้ความเห็นอกเห็นใจและใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลอย่างงานของนักสังคมสงเคราะห์ AI ไม่มีทางที่จะคอยรับฟังความรู้สึกของผู้ที่กำลังบำบัดเรื่องของยาเสพติด ที่กำลังรวมกลุ่มเข้าทำกิจกรรมร่วมกัน ระบบอัตโนมัติคงไม่สามารถรับฟังเรื่องราวของแต่ละคนที่เข้ากลุ่ม แล้วค่อยๆ ทำการสรุปหรือพูดให้กำลังใจ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเป็นประโยคที่อยู่ในรูปแบบของอารมณ์พาไปด้วยจึงจะทำให้กิจกรรมได้ผล เอาเป็นว่าตอนนี้ตัวเลขของตำแหน่งงานส่วนนี้ยังคงมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คนอย่างพวกเราสบายใจได้ นี่เป็นแค่ตัวอย่างของอาชีพที่ระบบอัตโนมัติยังไม่สามารถเข้ามาทำงานแทนที่คนได้ (ถ้าจะได้ก็คงอีกนาน) ซึ่งงานทุกงานล้วนเป็นงานที่ต้องใช้เรื่องของการสะสมประสบการณ์และการใช้เรื่องของอารมณ์กับความรู้สึก แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่คนเรามีอยู่ในตัวและสามารถพัฒนาได้ AI คงจะทำงานที่ไร้ความรู้สึกจากข้อมูลที่มีอยู่ในระบบเท่านั้น คนเราควรจะพัฒนาตัวเองไปทำงานที่ซับซ้อนกว่าเท่านั้นจึงจะอยู่รอด