อุปสรรค-โอกาสในตลาด “มาเลเซีย” ยังน่าลงทุนแค่ไหน


เป็นอีกหนึ่งประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงของไทย ที่นักลงทุนไทยไม่ควรมองข้ามสำหรับมาเลเซีย ซึ่งเป็น 1 ในกลุ่มสมาชิกอาเซียน 10 ชาติ ที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจประเทศนี้มีอัตราการเติบโตอย่างสม่ำเสมอเพราะได้รับอานิสงส์จากการที่รัฐบาลวางยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศระยะยาว 5 ปี เพื่อผลักดันโครงการอภิมหาโปรเจ็คต์ต่างๆ ให้บรรลุตามนโยบายที่วางไว้ โดยมีเป้าหมายนำประเทศที่กำลังพัฒนาก้าวสู่ประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2563

อานิสงส์ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างไทย-มาเลเซีย นอกจากจะทลายกำแพงขวางกั้นระหว่างสองประเทศแล้ว ทั้งสองฝ่ายยังบรรลุข้อตกเบื้องต้นนำร่องเปิดด่านศุลากากรสะเดาจ.สงขลา-บูกิตกายูฮิตัม ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 17 มิ.ย. – 16 ก.ย.2562 จากเดิมเปิดเวลา 05.00 น. และปิดเวลา 23.00 น. (เวลาท้องถิ่นไทย) หากไม่มีอุปสรรคใดๆ ทั้งรัฐบาลไทยและมาเลเซียจะพิจารณาเปิดด่านการค้าอย่างถาวรเพื่ออำนวยความสะดวกกสนเดินทางระหว่างประเทศ อีกทั้งยังส่งผลดีต่อ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว จะส่งเสริมกระตุ้นเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศได้ตลอดทั้งปี

“ข้อดีของการเปิดพรมแดนตลอด 24 ชั่วโมง จะอำนวยความสะดวกและช่วยย่นระยะเวลาขนย้ายสินค้าส่งถึงผู้บริโภคได้ทันกำหนดเวลา โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่เน่าเสียง่าย ซึ่งสินค้าที่ขนส่งผ่านด่านสะเดา-บูกิตกายูฮิตัม ไม่เพียงแต่เป็นสินค้าที่ส่งตรงไปยังมาเลเซีย แต่ยังส่งไปยังท่าเรือปีนัง ก่อนส่งต่อไปยังประเทศที่สาม และยังทำผู้ประกอบการลดต้นทุนขนส่งสามารถลำเลียงสินค้าไปถึงคู่ค้าทันกำหนด สร้างความเชื่อถือให้แก่ผู้ประกอบการและความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนต่างชาติ”นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าว

 

 

การที่มาเลเซียและไทยเปิดโลกสมัยใหม่ให้กว้างขึ้นเช่นนี้เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ขณะเดียวกันยังเกื้อหนุนนักลงทุนต่างชาติร่วมทั้งนักลงทุนชาวไทยที่จะมองหาลู่ทางเข้าไปลงทุนในมาเลเซียซึ่งปัจจุบันประเทศเพื่อนบ้านที่มีศักยภาพ กำลังซื้อสูง ที่สำคัญกำลังยกฐานะจากประเทศกำลังพัฒนาก้าวสู่ประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2563 หากมองในด้านสังคม มาเลเซียยังเป็นสังคมคนรุ่นใหม่ เป็นวัยทำงาน มีการศึกษาสูง เมื่อเที่ยบกับไทยกำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยมาเลเซียมีอัตราการเพิ่มของประชากรเฉลี่ยร้อยละ 3.3 ต่อปี คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง ได้แก่ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองเคลัง และยะโฮบาร์รู

ปี 2561 การค้าระหว่างมาเลเซีย-ไทย มูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท โดยปีนี้มีแนวโน้มว่าจะพุ่งเป็น 2 เท่าเพราะทั้งสองประเทศเปิดด่านศุลกากรตลอด 24 ชั่วโมง โดยการค้า การลงทุน และท่องเที่ยวของมาเลเซียรุ่งเรืองในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา คือฝั่งตะวันตกที่มีชายแดนติดกับไทย (ตะวันออกติดเกาะเบอร์เนียว) ทำให้ฝั่งตะวันตะวันตกกลายเป็นยุทธศาสตร์ทางด้านเศรษฐกิจสำคัญที่ดึงดูดนักธุรกิจเข้าไปลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเกิดใหม่มากมาย แต่ธุรกิจดาวเด่นยังคงเป็น ค้าปลีกค้าส่ง ที่มีแนวโน้มเติบโตไม่หยุดตอบสนองความต้องการของคนยุคใหม่ อาทิเช่น

1. พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งนับเป็นโอกาสในการขยายการลงทุน
2. กำลังซื้อของประชากรที่เพิ่มขึ้น และการขยายตัวของความเป็นเมือง
3. การขยายตัวของภาคธุรกิจท่องเที่ยวของภูมิภาคอาเซียน

ตลาดค้าส่งค้าปลีกของมาเลเซียจึงเป็นที่สนใจของกลุ่มนักลงทุนเพราะอัตราการขยายตัวของความเป็นเมืองไม่หยุดซึ่งมาเลเซียมีอัตราการขยายตัวของความเป็นเมืองร้อยละ 75.37 มีประชากรรวม 32.4 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงวัยทำงานอายุตั้งแต่ 25-54 ปี ทำให้สาขาบริการค้าส่งค้าปลีกเพิ่มสัดส่วนร้อยละ 11.5 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ก่อให้การแข่งขันแย่งส่วนแบ่งตลาดค้าปลีก ค้าส่ง รุนแรง

อุปสรรคด้านการลงทุน

1. มาเลเซียเริ่มขาดแคลนแรงงานและวัตถุดิบ
2. บุคลากรขาดความสามารถด้านการตลาดในสาขาธุรกิจ
3. ขาดแคลนแรงงาน
4. แต่ละเชื้อชาติมีความเข้าใจในตัวงานต่างกัน
5. ผู้ประกอบการไม่คุ้นเคยกับสังคมและวัฒนธรรมของมาเลเซีย
6. กฎหมายมาเลเซียเอื้อประโยชน์ให้กับแรงงานค่อนข้างมาก

 

 

นอกจากนี้ การที่นายมหาเธร์ โมฮัมหมัด ได้กลับมาเป็นผู้นำประเทศอีกสมัย ก็ยิ่งปลุกให้เศรษฐกิจมาเลเซียกลับมาคึกคักเป็นพิเศษ เพราะนายมหาเธร์เดินหน้าขับเคลื่อนปฎิรูปเศรษฐกิจของประเทศด้วยนโยบายใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับยุคปัจจุบัน จึงเป็นโอกาสที่รัฐบาลไทยจะได้สานสัมพันธ์กับรัฐบาลมาเลเซียครอบคลุมทุกด้าน ทั้งด้านการค้า การลงทุน และท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยปูทางให้กลุ่มนักธุรกิจไทยเข้าไปลงทุนในมาเลเซียสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น