ทำไมสหรัฐฯ เร่งคลายล็อกดาวน์ ในขณะที่ควบคุมการแพร่ระบาดได้ไม่ดี


กระทรวงแรงงานของสหรัฐอเมริกาแจ้งว่า ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมามีคนมาลงทะเบียนรับสิทธิเยียวยาคนว่างงานเพิ่มแล้วกว่า 2.1 ล้านคน ทำให้ตอนนี้ตัวเลขคนว่างงานในอเมริกาพุ่งขึ้นไปอยู่ในระดับ 45 ล้านคนแล้ว ในช่วงเวลาเพียงแค่ 2 เดือนกว่า ๆ ที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ซึ่งเป็นผลมาจากการที่สหรัฐอเมริกาต้องทำการประกาศนโยบายล็อกดาวน์ และจำกัดการเดินทางของประชาชนภายในสหรัฐอเมริกา เพื่อทำการควบคุมการแพร่ระบาดไม่ให้มีความรุนแรงจนเกินไป ทำให้ร้านค้า, ห้างสรรพสินค้า, สถานที่ท่องเที่ยว และกิจการต่าง ๆ ต้องหยุดดำเนินการเป็นจำนวนมาก

และหลังจากคลายล็อกดาวน์แล้ว หลายกิจการนั้นไม่สามารถกลับมาเปิดกิจการได้อีกครั้ง และตัดสินใจเลิกกิจการไปในที่สุด ทำให้มีจำนวนของคนตกงานพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว

จากเดือนเมษายนที่ผ่านมา สหรัฐฯ มียอดคนตกงานเพิ่มขึ้นกว่า 20 ล้านคน ส่งผลให้ตัวเลขของอัตราการว่างงานพุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 14.7% จากเดิมอยู่ที่ 10% ในเดือนมีนาคม

ความเสียหายดังกล่าวเกิดขึ้นในวงกว้าง กระทบเกือบทุกอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นภาคการบริการ, ภาคการผลิต และภาคการศึกษา

อย่างไรก็ตามตอนนี้อัตราการว่างงานในสหรัฐฯ ตัวเลขไม่พุ่งสูงเหมือนเดือนเมษายนแล้ว หลังจากรัฐบาลท้องถิ่นหลายแห่งเริ่มทำการคลายล็อกดาวน์ ให้ผู้คนเริ่มออกมาใช้ชีวิตเป็นปกติกันได้มากขึ้นในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา

แล้วความจริงของตัวเลขที่ว่ามีคนตกงาน มาขอลงทะเบียนรับสิทธิเงินเยียวยาคนว่างงานในเดือนเมษายน จำนวนกว่า 20 ล้านคนนั้น เกือบ 80% มีการระบุว่าเป็นการว่างงานแบบ “ชั่วคราว” เท่านั้น

ดังนั้นหากเศรษฐกิจอเมริกาหลังคลายล็อกดาวน์กลับไปเป็นเหมือนเดิมอย่างที่คิด คนจำนวน 15 ล้านที่ว่างงานชั่วคราวก็จะกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานเหมือนเดิม ตอนนั้นภาพรวมตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ก็จะไม่น่าห่วง

ห่วงอย่างเดียวคือการรับมือกับการระบาดของโรค ซึ่งหากยังคงปล่อยเอาไว้แบบนี้ อาจจะเปลี่ยนบรรดาคนตกงานชั่วคราว ให้กลายมาเป็นคนตกงานถาวรก็ได้

อ้างอิง:

https://edition.cnn.com/2020/05/28/economy/unemployment-benefits-coronavirus/index.html

https://www.theguardian.com/business/2020/may/28/us-job-losses-unemployment-coronavirus