นอร์เวย์ กลายเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป


          จากรายงานของสมาคมผู้ผลิตรถยนต์ยุโรประบุว่า ในปี 2018 จากจำนวนเพียง 5 ล้านคนของประชากรนอร์เวย์ มีจำนวนผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 46,143 คัน และจะทำให้นอร์เวย์กลายเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป แซงหน้าเยอรมนีที่สถิติ 36,216 คันและฝรั่งเศสที่สถิติ 31,095 คัน

          ด้วยประชากรเพียงแค่ 5 ล้านคน แต่นอร์เวย์กลับได้รับสมญานามว่าเป็น เมืองรถยนต์ไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลก ทั้งๆ ที่หากย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว นอร์เวย์มีรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ในประเทศแค่เพียง 567 คันเท่านั้น แต่จากสถิติล่าสุดนอร์เวย์กลับมียอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 7 หมื่นกว่าคัน ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 133 เท่า เฉพาะแค่ปี 2561 

       ‘ออสโล’ เมืองหลวงของนอร์เวย์จะกลายเป็นเมืองแรกของโลก ที่ติดตั้งระบบชาร์จไร้สายสำหรับรถแท็กซี่ไฟฟ้า โดยหวังว่าการชาร์จไฟอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพจะทำให้รถแท็กซี่ในออสโลหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายแท็กซี่ปลอดมลพิษ 100% ในปี 2023 และเป้าหมายรถยนต์ใหม่ปลอดมลพิษในปี 2025

       โครงการดังกล่าวนี้จะใช้เทคโนโลยีการเหนี่ยวนำ โดยมีแผ่นชาร์จติดตั้งอยู่บนถนนที่แท็กซี่เข้าคิวเชื่อมกับตัวรับสัญญาณที่ติดตั้งอยู่ในรถ เพื่อให้รถสามารถชาร์จผ่านการเหนี่ยวนำพลังงานได้ขณะเคลื่อนไหวช้าๆ ซึ่งที่มาของโครงการดังกล่าวนี้เกี่ยวข้องกับอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการใช้แท็กซี่พลังงานไฟฟ้า คือปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้เวลานานในการหาที่เสียบปลั๊กชาร์จและรอการชาร์จ ซึ่งส่งผลให้คนขับแท็กซี่เสียรายได้

       อย่างไรก็ดี นอร์เวย์เป็นประเทศที่มีอัตราการเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากประโยชน์ระยะยาวที่พลเมืองจะได้รับหากใช้รถยนต์ไฟฟ้า เช่น ค่าผ่านทางฟรี ลดราคาที่จอดรถ และจุดชาร์จ นอกจากนั้น รัฐบาลยังได้ยกเว้นภาษีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจากภาษีดั้งเดิมที่สูงมาก เพื่อล็อบบี้ให้มีการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ทำให้ปีที่ผ่านมายอดขายรถยนต์ใหม่เกือบหนึ่งในสามของประเทศคือ รถยนต์ไฟฟ้า

      ทั้งนี้ มีอีกหลายประเทศในยุโรปที่กำหนดนโยบายการลดมลพิษจากรถยนต์ โดยส่วนใหญ่มีแผนสำหรับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของพลเมืองให้หันไปใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นผ่านการอำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างเช่นการเพิ่มแท่นชาร์จทั่วประเทศ รวมถึงการลดภาษีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย อาทิ อังกฤษและฝรั่งเศสที่ตั้งเป้าหมายจะหยุดใช้รถยนต์ที่ปล่อยมลพิษให้ได้ภายในปี 2040