ปลดล็อคกฎเหล็ก “ยืดหยุ่นเวลาทำงาน” กลยุทธ์เด็ดมัดใจให้พนักงานไม่ลาออก


อัตราการว่างงานในสหรัฐอเมริกาที่ต่ำที่สุดในรอบ 50 ปี ทำให้บริษัทต่างๆ ต้องเผชิญปัญหาการดึง “หัวกระทิ” เพื่อให้อยู่ร่วมกับองค์กรให้นานที่สุด และต่างก็เริ่มจะงัดมาตรการต่างๆ มาดึงดูดดึงใจคนทำงานที่เก่งๆ อยู่ร่วมกับองค์กรให้ได้นานๆ กับมาตรการที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ นั้่นคือ ข้อเสนอให้ทำงานแค่ 4 วันต่อสัปดาห์ เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงานของพนักงานให้ดียิ่งขึ้น

การเพิ่มวันหยุดเป็น 3 วัน และให้มาทำงานแค่ 4 วัน กำลังเป็นมาตรการที่ภาคเอกชนใช้เพื่อดึงคนในองค์กรไม่ให้เกิดภาวะ “สมองไหล” และแห่ไปทำงานที่อื่น การยืดหยุ่นเวลาการทำงานแบบนี้นั้น นักวิเคราะห์จากหลายสถาบันที่ติดตามเรื่องของแรงงานสัมพันธ์ในสหรัฐฯ ก็มองว่า จะมีผลดีกับการทำงาน เนื่องจากพนักงานจะได้รับความรู้สึกที่ไม่กดดัน และมีการยืดหยุ่น ซึ่งมันจะส่งผลต่อความพร้อมในการทำงานเพื่อองค์กร

และล่าสุดกับร้านอาหารอย่าง Shake Shack ร้านเบอร์เกอร์ชื่อดังของนิวยอร์ก ที่ประกาศว่าจะเริ่มทดลองการให้พนักงานมาทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ในบางสาขา ซึ่งจะจัดสรรเวลากันอย่างเหมาะสมให้ลงตัว โดยจะให้พนักงานทำงานตามเวลาเฉลี่ยคือ 40 ชั่วโมง นั่นย่อมหมายถึงว่าแม้ว่าจะได้ทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ แต่ก็ต้องแลกกับการทำงานต่อวันที่ 10 ชั่วโมง แต่แน่นอนว่าสวัสดิการในด้านต่างๆ ของ Shake Shack ก็ยังคงไว้ในแบบเดิม

 

 

อย่างไรก็ตาม Randy Garutti ซีอีโอของ Shake Shack ก็ออกมาบอกว่า การปรับการทำงานแบบ 4 วัน/สัปดาห์ ก็ยังคงดีกว่าการทำงานแบบเดิมที่พนักงานแทบจะไม่ได้พักผ่อนเลย เพราะงานหนักที่ต้องทำกันในบางคนถึง 6-7 วัน/สัปดาห์ หรือเฉลี่ยวันละ 12-14 ชั่วโมง แต่การปรับการทำงานแบบใหม่เราคำนวณดูแล้วจะได้เนื้องานเท่าเดิม แต่คุณภาพชีวิตของพนักงานจะดีขึ้น

แต่อีกหนึ่งองค์กรที่ปรับเวลาการทำงานแล้วเห็นผล และทำมากว่า 2 ปีแล้วอย่าง Wildbit บริษัทซอฟต์แวร์ชื่อดังของสหรัฐฯ ที่ให้พนักงานทำงานเฉลี่ยสัปดาห์ละ 32 ชั่วโมงในกรอบระยะเวลา 4 วัน และผลที่ว่ามันทำให้ชีวิตพนักงานดีขึ้น

“การปล่อยให้พนักงานพักเพิ่มอีกหนึ่งวัน มันเหมือนกับเป็นการชาร์จพลังงานให้กับพนักงานของเรา และเมื่อทดลองเมื่อสองปีก่อนผลปรากฏว่ามันดีอย่างมาก พนักงานจะกระตือรือร้นในการมาทำงานในวันจันทร์และพวกเขามาพร้อมกับไอเดียการทำงานใหม่ๆที่มันเป็นผลดีอย่างมาก เราจึงทำมันมาเรื่อยๆ โดยให้พนักงานทำงานแค่วันจันทร์-พฤหัสบดี ส่วนศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ก็เป็นวันพักผ่อนไป” Natalie Nagele ซีอีโอของ Wildbit บอกเล่า พร้อมกับขยายความด้วยว่า นอกไปจากการทำงาน 4 วัน/สัปดาห์แล้ว บริษัทยังกำหนดให้มีการประชุมแค่ 30 นาที/สัปดาห์ เพราะการประชุมที่น้อยลงจะมีเวลาทำงานที่มากขึ้น

แต่ก็ใช่ว่าการทำงานแบบ 4 วัน/สัปดาห์จะมีผลดีต่อทั้งตัวพนักงาน และองค์กรในทุกองค์กรหรือทุกคน เพราะในบางตำแหน่งก็ไม่เป็นผลดีเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะกับงาน “เซลล์” ที่มีเป้าการขายที่ต้องทำยอด

อย่างเช่น บริษัทซอฟต์แวร์ Cockroach Labs ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2558 แต่บริษัทต้องเปลี่ยนจากการหยุดทุกวันศุกร์ หรือ “Free Fridays” เป็น “Flexible Fridays” คือยืดหยุ่นในวันหยุด เมื่อธุรกิจเติบโตมากขึ้นและต้องรองรับลูกค้า รวมถึงหุ้นส่วนอื่นๆ ที่ยังทำงานสัปดาห์ละ 5 วัน

แต่แม้จะไม่ได้วันหยุดเพิ่มเหมือนที่อื่น สิ่งที่แลกมาก็คือโบนัส และค่าคอมมิชชั่นสำหรับบริษัทแห่งนี้

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกบางสิ่งที่ต้องกังวลสำหรับในการทำงานของสหรัฐฯ เพราะหากมีการทำงานในกรอบเวลา 4 วัน/สัปดาห์ มันก็ต้องมาพร้อมกับทุกช่วงนาทีของเวลาทำงานที่ต้องเต็มไปด้วยความเข้มข้น งานหนัก และอาจนำไปสู่ภาวะเครียดแทนหรือไม่ แต่ก็มีบริษัทบางแห่งที่แก้ปัญหาดังกล่าวด้วยเช่นกัน โดยจะแจกหูฟังอย่างดีที่จะทำงานป้องกันการรบกวนจากเสียงภายนอก หรือติดตั้งระบบสัญญาณไฟหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่จะลิงค์เข้าหากันเพื่อให้สัญญาณว่า “ว่าง” หากจะมีการพูดคุยกันระหว่างพนักงานเกี่ยวกับเรื่องงาน และมันจะได้ไม่เป็นการรบกวนกัน

มาตรการของบริษัทเอกชนหลายแห่งในสหรัฐฯ ที่ต่างพากันยื่นข้อเสนอการทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ให้กับพนักงาน เป้าหมายเดียวของพวกเขาคือดึงเอาคนเก่งคนหัวกระทิไว้กับองค์กรให้ได้นานที่สุด เพราะปัจจุบัน “ไวท์คอลล่า” หรือพวกพนักงานออฟฟิศในสหรัฐฯ ก็หางานใหม่ได้ง่ายมากขึ้นจากมาตรการคุมเข้มแรงงานต่างชาติ หรือคนต่างชาติจากนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดังนั้น การดึงดูดดคนด้วยแรงจูงใจที่เพิ่มเงินเดือนจึงทำได้ง่าย แต่ละองค์กรที่ไม่อยากจะเสียคนงานเก่งๆ ของตัวเองไปก็ต้องเพิ่มวันหยุดหรือสวัสดิการอื่นๆ เป็นการดึงตัว

เห็นรูปแบบข้อเสนอในการทำงานของสหรัฐฯ แล้ว พลันให้นึกถึงประเทศไทย ที่ก่อนการเลือกตั้งก็มีพรรคการเมืองหนึ่งประกาศเอาไว้ว่าจะดันนโยบาย “ทำงาน 4 วัน/สัปดาห์” มาให้คนไทยด้วยเหมือนกัน และพรรคที่ว่านั้นก็ได้โอกาสร่วมรัฐบาลไปแล้วด้วย ไม่รู้ว่ายังจำสิ่งที่หาเสียงเอาไว้ได้หรือไม่

หากทำได้จริงตามที่ว่า เชื่อว่าความเครียดในหมู่พนักงานไทยคงจะหายไป และคงทำให้ชีวิตของพวกเขา “บาลานซ์” ขึ้นมากทีเดียวจากชีวิตส่วนตัว และชีวิตการทำงาน