จับตา! “เอเชีย” จะกลายเป็นตลาดเป้าหมายใหม่ของรัสเซียในการส่งออกน้ำมัน


“เอเชีย” จะกลายเป็นตลาดเริ่มต้นใหม่เป้าหมายใหม่ในการขายน้ำมันของรัสเซียกับสถานการณ์หาผู้ซื้อเพื่อส่งออกพลังงาน

Dan Yergin รองประธาน S&P Global กล่าวว่า ประเทศในเอเชียจะเป็นเป้าหมายใหม่ในการขายน้ำมันของรัสเซีย หลังกำลังมีปัญหากับประเทศในฝั่งตะวันตก โดยผู้นำเข้ารายใหญ่ในเอเชีย ได้แก่ จีน และอินเดียที่ต้องเผชิญกับความกดดันในเรื่องของราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น นับตั้งแต่รัสเซียส่งกองกำลังบุกเข้าไปในยูเครนในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ โดยรัสเซียให้ข้อเสนอขายน้ำมันราคาถูกให้ทั้งจีน และอินเดีย ที่มีความใกล้ชิดสนิทกันเป็นพิเศษ

“ดูเหมือนเอเชียจะกลายเป็นตลาดเริ่มต้นสำหรับการขายน้ำมันของรัสเซีย จากปกติจะมุ่งเน้นไปที่ยุโรป” Dan Yergin กล่าว

เป็นที่ทราบกันดีว่ารัสเซียถูกชาติตะวันตกคว่ำบาตร และโดนสหรัฐฯ แบนการซื้อน้ำมันดิบจากรัสเซีย ตลอดจนสหราชอาณาจักรก็มีแผนที่จะดำเนินการในรูปแบบเดียวกันนี้ ส่วนสหภาพยุโรปได้ชั่งน้ำหนักที่จะออกมาตรการคล้ายคลึงกัน

Yergin กล่าวเพิ่มเติมว่า 5 สัปดาห์ก่อน รัสเซียเป็นมหาอำนาจด้านพลังงาน ตนยังคิดว่ารัสเซียยังเป็นผู้เล่นสำคัญ แต่พลังอำนาจลดลงเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อต้นเดือนนี้ สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) รายงานว่าน้ำมันดิบของรัสเซียถูกขายแบบลดราคาเป็นประวัติการณ์ โดยมีการเสนอส่วนลด 30 ดอลลาร์สหรัฐฯ และ 25 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลสำหรับน้ำมัน Urals สวนทางกับการราคาส่งออกพลังงานของประเทศอื่น ๆ ที่พุ่งสูงขึ้นแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในทศวรรษนี้ โดยราคาน้ำมัน มีอัตราสูงกว่าปีที่ผ่านมาประมาณ 80% และมีความผันผวนตั้งเกิดความไม่สงบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน

อินเดีย ถูกคาดหมายจะเป็นคู่ค้าน้ำมันที่สำคัญของรัสเซีย ที่ผ่านมาอินเดียซื้อน้ำมันเดียจากอิรัก, ซาอุฯ, ยูเออี และไนจีเรีย แต่ประเทศเหล่านี้ล้วนกำหนดราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เนื่องจากราคาในตลาดที่สูงขึ้น โดยผู้สังเกตุการณ์ในอุตสาหกรรมจับความเคลื่อนไหวในช่วงที่ผ่านมา พบว่าการส่งมอบน้ำมันจากรัสเซียไปยังอินเดียมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม เพราะมีการลดราคาน้ำมัน
“อินเดียกำลังพูดคุยกับรัสเซียเกี่ยวกับการซื้อน้ำมันที่มาพร้อมกับส่วนลดมากมาย แต่ระบบโลจิสติกส์ที่มีความซับซ้อน โดยสามารถขนส่งน้ำมันได้ 100 ล้านบาร์เรลต่อวันทั่วโลก ทำให้ดูไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่” Yergin กล่าว

ที่มา: cnbc