ในบรรดาทายาทรุ่นที่ 2 ของบาร์บีคิวพลาซ่า “ชนินทร์ ชูพจน์เจริญ” ลูกชายคนเล็กของตระกูลกำลังถูกจับตามองเป็นพิเศษ ด้วยหน้าตาที่หล่อเหลา บวกกับ “เอาการเอางาน” ในตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัท ชนินทร์ เข้ามารับผิดชอบธุรกิจของครอบครัวอย่างเต็มตัวได้เพียง 2 ปี แต่หากจะนับกันจริงๆ ธุรกิจบาร์บีคิวพลาซ่าแทบจะอยู่ฝังในสายเลือดของเขาก็ว่าได้
เพราะครอบครัวของเขาได้ปูพื้นฐานการทำธุรกิจอาหาร เริ่มจากงานล้างจาน ตักข้าวอยู่ในครัว เรียนรู้เทคนิคการพูดกับพนักงาน ทำให้พี่น้องทุกคนได้ซึมซับงานมาตั้งแต่เด็ก
“เราถูกปลูกฝังมาแบบไม่ให้นั่งบริหารอยู่บนหอคอย กว่าจะมาถึงตรงนี้ต้องเรียนรู้งานทุกส่วนที่ประกอบกันขึ้นเป็นธุรกิจ และต้องรู้จักที่จะให้ผู้อื่นก่อนเสมอ เราถึงจะได้รับกลับมา”
การเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ เป็นแรงบันดาลใจให้ชายหนุ่มตัดสินใจศึกษาต่อปริญญาตรีทางด้านวิทยาศาสตร์อาหาร ที่มหาวิทยาลัยคอร์แนล สหรัฐอเมริกา ก่อนกลับมาช่วยครอบครัวประสานงานเรื่องการก่อสร้าง การออกแบบโรงงาน ในช่วงที่บริษัทกำลังจะย้ายโรงงานมาปักหลักอยู่ที่นวนครพอดี จากนั้นก็ไปเรียนต่อปริญญาโท MBA ที่สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนกลับมาทุ่มเทให้กับธุรกิจของครอบครัวอย่างเต็มที่
“พี่น้องทุกคนมาช่วยงานในเครือบาร์บีคิวพลาซ่าทั้งหมด โดยที่ไม่มีใครบังคับใคร ที่จริงผมก็ได้รับการเสนอโอกาสดีๆ ให้ไปทำงานหลายที่ แต่พี่ๆ ก็โน้มน้าวว่ามาทำธุรกิจของที่บ้านเถอะ เพราะแบรนด์เรามีศักยภาพ มีโอกาสที่จะพัฒนาอีกมาก และยังคงมีช่องว่างอีกหลายอย่างที่เราสามารถจะทำได้ ผมเองมีความภาคภูมิใจในแบรนด์ที่ทางครอบครัวสร้างขึ้นมาอยู่แล้ว และเห็นว่าเรามีทีมงานที่ส่งเสริมกันและกันได้ดี ถือเป็น Perfect Team ที่ทำให้บริษัทไปต่อได้อีกไกล”
ชนินทร์ อาสาดูแลเรื่องมาตรฐานกลาง และรับผิดชอบงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งก็ตรงกับสิ่งที่เขาเรียนมา นอกจากพัฒนาแบรนด์ที่มีอยู่ ผู้บริหารหนุ่มยังดูเรื่องพัฒนาผลิตภัณฑ์แบรนด์ใหม่ๆ ให้กับทางเครือด้วย เขาต้องเดินทางไปทั่วโลกเพื่อหาแรงบันดาลใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในเครือ
และแล้วเขาก็ได้พบกับแบรนด์เนื้อคู่ อย่าง “HOT STAR” ที่โด่งดังไปทั่วเอเชียและออสเตรเลีย ซึ่งบาร์บีคิวพลาซ่าได้ทุ่มงบกว่า 60 ล้านบาท นำเข้าไก่ทอดชิ้นใหญ่ไซส์ XXL จากไต้หวันเพื่อมาทำตลาดในเมืองไทย ถือเป็นไฮไลท์ในการเปิดตลาดเซกเมนต์ใหม่ที่ผู้บริหารหนุ่มเรียกว่า “ไลฟ์สไตล์ สแน็ค”
“ผมเจอแบรนด์นี้ และสนใจในเรื่องราวของมันที่มีมาตั้งแต่ปี 1992 เรามองเห็นช่องว่างทางการตลาดที่สามารถจะเข้ามาสร้างสีสันใหม่ๆ ให้กับวงการอาหารได้ ในรูปแบบของอาหารว่างแบบไลฟ์สไตล์ สแน็ค สำหรับรับประทานระหว่างมื้อและทานได้ทั้งวัน เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ซึ่งถือว่ายังเป็นเซกเมนต์ใหม่สำหรับตลาดอาหารเมืองไทย”
ก่อนเปิดตัวแบรนด์ใหม่ ชนินทร์และทีมงานก็ต้องบินไปอบรมหลายร้อยชั่วโมงที่ไต้หวัน เพื่อนำเคล็ดลับและความสำเร็จของ Hot Star มาถ่ายทอดยังเมืองไทย เห็นไก่ทอดชิ้นใหญ่ขนาดประมาณ 1 ฟุตอย่างนี้ ชายหนุ่มบอกว่าเกิดจากการคัดเลือกชิ้นไก่ไซส์พิเศษ ชิ้นใหญ่ โดยไม่มีการตัดต่อแต่อย่างใด
เขาคาดหวังว่า HOT STAR จะเปิดจำหน่ายได้ในร้านรูปแบบสแน็ค คาเฟ่ ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2558 โดยวางแผนไว้ว่าจะขยายสาขามากกว่า 35 สาขาภายใน 5 ปี ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถสร้างยอดขายให้กลุ่มธุรกิจในเครือได้กว่า 100 ล้านบาทต่อปี
แม้จะทำงานกับสมาชิกในครอบครัว แต่ชนินทร์เผยว่านั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะทุกคนต่างทำงานกันอย่างมืออาชีพ ทว่าก็เต็มไปด้วยความอบอุ่น ความสนุกสนานในแบบฉบับครอบครัว
“ถึงจะเป็นพี่น้อง แต่เราก็พยายามเปิดใจกัน พูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา บางทีทะเลาะกันบ้าง เห็นต่างกันบ้าง แต่เราก็มีความเป็นมืออาชีพมากพอ กับเพื่อนร่วมงานที่มีอายุมากกว่า ผมก็ให้ความเคารพในความคิดและประสบการณ์ของแต่ละท่าน ขณะเดียวกันผมก็ต้องพิสูจน์ตัวเอง ทำงานด้วยความเป็นมืออาชีพ หากคิดต่าง ก็ต้องพูดคุยกันด้วยเหตุผล บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง เพื่อแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราทำ จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างไรกับบริษัท”
ความท้าทายของชนินทร์ ในวันนี้คือ การทำธุรกิจอาหารให้ผู้บริโภคเข้าถึงและยอมรับ พร้อมทุ่มแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่ ทำทุกวันให้ดีที่สุด โดยไม่ยึดติดกับสิ่งที่เป็นอยู่เดิม จะได้ไม่เสียดายที่ไม่ได้ทำ