Verizon ปิดจ็อบ ทุ่ม 4.83 พันล้านดอลลาร์ ได้ครอบครอง Yahoo!


Verizon บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ได้ทุ่มงบ 4.83 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อซื้อกิจการ จากบริษัทใหญ่อย่าง Yahoo! ด้วยเงินสดทั้งหมด ซึ่งคงทราบกันดีว่า บริษัท Yahoo! เคยเป็นอดีตยักษ์ใหญ่ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตชื่อดัง โดยมีเครื่องมือค้นหาข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลก แถมเคยเป็นอีเมล์ที่มีผู้ใช้หลายล้านคน

แต่ในที่สุดต้องปิดฉากให้กับภาวะที่ถึงทางตัน เนื่องจากขาดรายได้จากโฆษณา ซึ่งทั้ง Google และFacebook ได้จับจองพื้นที่การตลาดอย่างเหนียว ต้องยอมรับว่า ในโลกของสื่ออินเทอร์เน็ตนั่น มีความรวดเร็ว ไม่แน่นอน จะประมาทไม่ได้แม้วินาทีเดียว!

ทั้งนี้ บอร์ดบริหารของ Yahoo ได้ตัดสินใจตกลงขายธุรกิจหลักให้กับ Verizon Communications ในราคากว่า 4,800 ล้านเหรียญ โดยธุรกิจที่ขายได้แก่ บริการทางอินเทอร์เน็ต และที่ดิน อาคาร โดยหลังจากการดีลได้เสร็จสิ้นลง สัดส่วนผู้ถือหุ้นของ Yahoo! จะเหลือประมาณ 41,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมาจากการลงทุนใน Alibaba, Yahoo Japan และสิทธิบัตรอื่นๆ นั่นเอง

โดยก่อนหน้านี้ ได้มีหลายสำนัก ที่สนใจจะลงทุนซื้อกิจการกับบริษัท Yahoo! ไม่ว่าจะเป็น Warren Buffett และ The Daily Mail แต่ด้วยระยะเวลาอันยาวนาน พร้อมกับจำนวนผู้ใช้ที่ลดลงเรื่อยๆ ในที่สุด ผู้ที่ปิดจ็อบ ได้เป็นเจ้าของตำนานอินเทอร์เน็ตชื่อดังยุคแรกเริ่ม จึงไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นคือ บริษัท ‘Verizon’ นั่นเอง

โดยได้ระบุว่า หลังซื้อกิจการไปแล้ว Yahoo! จะได้รวมเข้ากับหน่วยธุรกิจ AOL โดยมี ทิม อาร์มสตรอง ซีอีโอของ AOL เป็นผู้นำ และอยู่ในการดูแลของ มาร์นี วอลเดน ผู้บริหารฝ่าย Product Innovation and New Businesses ของ Verizon ส่วนความรู้สึกของซีอีโอของบริษัท Yahoo! อย่าง มาริสซ่า เมเยอร์ กล่าวว่า ยังอยากอยู่กับบริษัทต่อไป แต่ยังไม่สามารถยืนยันอะไรได้ในตอนนี้

อย่างไรก็ตาม ทางกฎหมายถือว่า บริษัท Yahoo! ยังเปิดตัวอยู่ แต่มีสถานะเป็นบริษัทผู้ถือหุ้นของ Alibaba และ Yahoo Japan ที่เคยไปลงทุนเอาไว้ และเป็นเจ้าของสิทธิบัตรของ Yahoo! เท่านั้น เมื่อปิดดีลการขายส่วนธุรกิจแล้ว ตัวบริษัท Yahoo! จะเปลี่ยนชื่อเป็นอย่างอื่น ซึ่งยังไม่มีการประกาศแน่ชัด และจะยังจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เช่นเดิม

ขอกล่าวคำอำลา ให้แก่เจ้าของตำนานธุรกิจบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตรุ่นเก๋า เป็นสำนวนสั้นๆว่า  “ไม่มีงานเลี้ยงใด ไม่เลิกรา”

ที่มา: CNN, BBC และ New York Times

 กัลย์วิตา จิราวิภูเศรษฐ์