จับตา!ธุรกิจ “รถยนต์ไฟฟ้า” แข่งขันดุ


การประกาศของประธานโฟล์คสวาเกน ในการตั้งเป้าหมายให้ค่ายรถยนต์ของตนเป็นอันดับหนึ่งด้านรถยนต์ไฟฟ้า ส่งผลให้การแข่งขันพัฒนารถยนต์ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเริ่มร้อนแรงมากยิ่งขึ้น โดยโฟล์คสวาเกนตั้งเป้าจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 30 รุ่น ในปี 2568 และเพิ่มยอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าให้มีสัดส่วนกว่า 25% ซึ่งการตัดสินใจเน้นพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าครั้งนี้มีปัจจัยหนึ่งมาจากคดีอื้อฉาวเรื่องการปล่อยก๊าซไอเสียของรถยนต์ดีเซลเมื่อปี 2558 ประกอบกับกฎระเบียบสิ่งแวดล้อมในประเทศต่างๆ อย่าง สหรัฐฯและจีนมีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น

โดยรัฐแคลิฟอร์เนียกำหนดสัดส่วนการจำขายรถยนต์ที่ไม่ปล่อยไอเสียตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2560 ส่วนจีนได้เริ่มทยอยบังคับใช้มาตรการในลักษณะเดียวกันตั้งแต่ปี 2561 ด้านเจเนอรัล มอเตอร์ ก็ออกจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถวิ่งได้ไกลกว่า 380 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟฟ้าหนึ่งครั้งแล้ว ในขณะที่เมอร์เซเดสเบนซ์อยู่ระหว่างพัฒนารถยนต์แบรนด์ใหม่ที่สามารถวิ่งได้ไกลถึง 500 กิโลให้ได้ในปี 2563

ปัจจัยที่กระตุ้นการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าในฝั่งตะวันตกมาจากการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทเทสล่าที่มียอดสั่งซื้อถึง 370,000 คัน ขณะที่ฝั่งตะวันออกก็มีรถยนต์ไฟฟ้า Leaf ของนิสสันมียอดขายรวมแล้วกว่า 290,000 คัน ด้านโตโยต้าที่เป็นผู้เริ่มต้นการพัฒนารถยนต์อีโคคาร์รุ่น Prius ซึ่งวางขายตั้งแต่ปี 2540 จนประสบความสำเร็จเป็นรายแรกของโลก ล่าสุดก็ได้ประกาศเข้าร่วมการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าแล้ว หลังจากที่มีความชัดเจนว่า Prius แบบไฮบริดจะไม่สอดคล้องกับมาตรการสิ่งแวดล้อมที่หลายประเทศกำลังพิจารณา โดยได้จัดตั้งองค์กรภายในขึ้นใหม่และร่วมมือกับกลุ่มบริษัทลูกของตนเองในการเร่งรัดพัฒนาการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแข่งขันกับค่ายรถยนต์อื่น ๆ

การผลิตรถยนต์ในอนาคตมีแนวโน้มเน้นการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ามากกว่ารถยนต์ที่ใช้พลังงานประเภทอื่น ซึ่งปัจจัยผลักดันที่สำคัญคือ เทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไม่มีความซับซ้อนเท่ากับการพัฒนารถยนต์ไฮบริดหรือรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงประเภทอื่น ส่งผลให้การเข้าร่วมอุตสาหกรรมของผู้ประกอบการรายใหม่เป็นไปได้ง่ายขึ้น

คาดว่าการแข่งขันระหว่างค่ายรถยนต์ต่างๆ จะทวีความรุนแรงจนเกิดการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มบริษัทต่างๆในอุตสาหกรรมยานยนต์ และจะส่งผลต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ยานยนต์ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งผู้ประกอบการไทย ทั้งนี้ช่วงปี 2556-2559 ประเทศไทยมีการส่งออกรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบโดยเฉลี่ยกว่า 25,204 ล้านเหรียญ โดยเฉพาะการส่งออกไปญี่ปุ่น ที่มีมูลค่าเฉลี่ยกว่า 1,311 ล้านเหรียญ คิดเป็นสัดส่วน 5.20%