ถ้าพูดถึงแบรนด์ Dry Clean Only คงไม่มีคนแฟชั่นคนไหนไม่รู้จัก ด้วยความหลงใหลในงานประดิษฐ์ตั้งแต่เด็ก
เบส ปฏิพัทธ์ ชัยภักดี หลอมรวมกันกับเสื้อมือสองสุดต่างอย่างถึงกึ๋น ส่งให้ปัจจุบันเขาสามารถพา Dry Clean Only ก้าวออกไปขายในเมืองแฟชั่นทั่วโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ
การสร้างความแตกต่าง?
10 ปีที่แล้วช่วงเริ่มทำ Dry Clean Only มันเกิดจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว คิดว่าอะไรที่มันจะสามารถเป็นแฟชั่นในแบบเราได้ เลยดึงเอาเสื้อเก่าที่มีอยู่แล้วมาเพิ่มมูลค่าด้วยการการปัก, ประดับ ด้วยทุนประมาณหลักหมื่นต้นๆ แล้วทำเองทุกอย่างคนเดียว ตั้งแต่หาวัตถุดิบ ออกแบบและขายเองที่จตุจักร
ความแตกต่างมันมาจากที่เราเป็นคนคิดไม่เหมือนคนอื่น คิดแปลก “ถ้าอยากทำแฟชั่นก็ไม่ได้อยากทำเหมือนคนอื่น ที่ต้องเริ่มลงทุนจากการไปซื้อผ้าสำเร็จรูปที่สำเพ็งหรือที่ตลาดผ้า” แล้วค่อยเอามาทำให้เป็นแฟชั่น เราอยากสร้างมันให้เป็นแฟชั่นในแบบฉบับของเรา จึงเลือกใช้วัตถุดิบที่เป็นวินเทจหรือเสื้อมือสองมา reuse และ remade มันเลยค่อนข้างแตกต่างมาก ณ เวลานั้น

จุดเปลี่ยนจากเริ่มถึงปัจจุบันและอนาคต?
หลังจากทำมา 4 ปีแบรนด์เรามีความเป็นธุรกิจมากขึ้น ทำให้งานออกแบบ smooth ขึ้น คือตอนแรกทำเพราะความชอบจริงๆ ซึ่งไม่ได้แคร์ตลาดมากเลยทำให้เราชัด แต่พอธุรกิจมันโตถึงจุดๆหนึ่งเราต้องเริ่มสนใจตลาด และย้อนมาดูว่าธุรกิจเรามันจะไปต่อยังไง เพราะเราต้องมีออฟฟิศ มีพนักงานและมีค่าใช้จ่ายมากขึ้น ฉะนั้นทุกอย่างมันต้องเป็นระบบ แต่ในขณะเดียวกันเราต้องออกแบบให้มันดูสดใหม่อยู่ตลอดเวลา
ช่วงพีคสุดๆของแบรนด์น่าจะเป็นช่วงปีที่ 5 ที่ทำเสื้อแกนกุดประดับไข่มุกที่มีออเดอร์เข้ามาจนคนรู้จัก อาจเพราะยังไม่มีคนทำเสื้อผ้าสไตล์นี้มากนัก จนต่อมามีคนมาก๊อปปี้กันทั่วประเทศ ซึ่งตอนนี้ก็ยังพีคอยู่ จนมันเป็นเหมือน classic item ของเราไปแล้ว
จากนั้นมันเหมือนกับเป็น step by step เพราะพอเราเติบโตในประเทศแล้ว คนไทยได้ใส่เสื้อเราไปต่างประเทศมากๆ ก็มีต่างชาติถามว่าซื้อมาจากที่ไหน นี่คือ feedback ที่กลับมาหาเรา จนกระทั่งวันหนึ่งมี distributor จากโตเกียว สนใจคอลเลคชั่นของเราและมาถามว่าอยากทำธุรกิจกับเขามั้ย? คือเขาอยากเอาเสื้อเราไปขายที่ญี่ปุ่นเป็นการเปิดตลาดใหม่ เลยทำให้ได้โอกาสจากตรงนั้น ทุกอย่างมันเลยเริ่มเป็นระบบมากขึ้น จากที่ทำเป็นชิ้นต่อชิ้นไปเรื่อย ก็ต้องทำเป็นคอลเลคชั่นหลายชิ้นตามฤดูกาลและทำราคาที่เป็น wholesale ซึ่งต้องมีการจัดการและระบบความคิดมากขึ้น

อย่างคอลเลคชั่นล่าสุด spring summer 2017 เป็นเรื่องราวของเสื้อที่ระลึกตามตลาดที่เราหาได้ แล้วเอามาปรับใหม่โดยใช้เชิ้ต ซึ่งมันเป็นการพยามที่จะหา item ใหม่ที่คนยังไม่ทำ “เพราะแฟชั่นมันสำคัญมาก ที่เราต้องให้งานดีไซด์ใหม่ๆกับลูกค้า”
ปัจจุบันมีขายอยู่ที่ฝรั่งเศส, อิตาลี, ลอนดอน, สเปน, ตะวันออกกลาง, เกาหลี, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น, จีน ซึ่งตอนนี้การค้ามันเป็นตลาดของเอเชีย เพราะเป็นคนที่มีกำลังซื้อสูงสุดในโลก เราเลยจะขายดีมากๆในแถบนี้
อนาคตวางแผนที่จะทำแบรนด์ให้เข้มข้นมากขึ้น ต้องหาโจทย์ใหม่ในการทำงานไปเรื่อยๆ เช่น แจ๊กเก็ต เดรส กางเกง ที่ไม่ใช่แค่เสื้อยืดเท่านั้น และต้องไม่มีข้อจำกัดในการ remade
“ในยุคนี้การสร้างความแตกต่างให้ธุรกิจมันเป็นเรื่องสำคัญ ฉะนั้น SMEs ต้องเริ่มทำในสิ่งที่ตัวเองรักชอบจริงๆก่อน อย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องเงินมาก และสิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งที่เราคิดว่าจะทำมันได้ดีด้วย เพราะถ้าเราเริ่มแล้วคิดแต่เรื่องเงินทันที พอเราขายไม่ได้ ก็จะรู้สึกผิดหวังไม่อยากทำต่อ แต่ถ้าเป็นสิ่งที่เรารักพอมันแย่ มันก็ยากที่จะท้อถอย”
