กรณีศึกษา : ญี่ปุ่นปรับเพิ่มร้านสะดวกซื้อเพื่อผู้สูงวัย


บทความโดย สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว กระทรวงพาณิชย์

ที่ผ่านมา Seven-Eleven Japan ได้เปิดสาขาภายในโครงการที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ ณ เมือง Higashi Murayama ชานกรุงโตเกียว ที่บริหารโดยหน่วยงานของรัฐบาล Urban Renaissance Agency (UR) โดยทำสัญญาแฟรนไชส์ผ่านเครือ UR ร้านสะดวกซื้อสาขาดังกล่าวทำการจำหน่ายผักสด และมีแผนที่จะให้บริการทำเรื่องเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย เช่น การทำเรื่องย้ายเข้า/ออก ฯลฯ แม่บ้านอายุ 75 ปี ที่อาศัยอยู่ในโครงการดังกล่าว กล่าวว่า “มันเป็นเรื่องดีมากที่มีร้านใกล้บ้านให้ซื้อของแบบนี้”

UR ได้ทำสัญญาความร่วมมือกับเครือร้านสะดวกซื้อ 4 รายใหญ่ของญี่ปุ่น เมื่อปีที่แล้ว และตั้งเป้าเปิดร้านสะดวกซื้อประมาณ 100 แห่ง ในโครงการของ UR ทั่วประเทศญี่ปุ่น ซึ่งบุคลลในวงการกล่าวว่า เครือร้านสะดวกซื้อตั้งใจที่จะขยายสาขาในโครงการของ UR เนื่องจากมีผู้ซื้อที่มีศักยภาพอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเครือร้านสะดวกซื้อจะพยายามใช้ประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้สูงอายุให้มากที่สุด

Seven-Eleven ร่วมมือกับ Seino Holdings Co., Ltd. บริษัทโลจิสติกส์ในการเสริมบริการส่งของไปยังบ้านของผู้สูงอายุ พนักงานผู้หญิงในแผนกใหม่ของ Seino นี้ จะไม่เพียงรับออเดอร์และจัดส่งสินค้าเท่านั้น แต่จะคอยสังเกตลูกค้าสูงอายุด้วย เจ้าหน้าที่ของ Seven-Eleven กล่าวว่า “เราจะเผชิญหน้ากับการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุที่ประสบความลำบากในการเดินทางออกไปจับจ่ายซื้อของ โดยจะทำให้ร้านของเราเข้าใกล้ได้มากขึ้นและสะดวกมากขึ้นสำหรับลูกค้า”

ด้าน Lawson ได้ทำสัญญาแฟรนไชส์กับธุรกิจให้บริการดูแล/พยาบาล และเปิดสาขาที่จำหน่ายอาหาร ชุดชั้นใน และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ออกแบบเพื่อผู้สูงอายุโดยเฉพาะ เมื่อปี 2015

ด้านกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครโอซากามีความคิดเห็นว่า ประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีสถิติการเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ของประชากรผู้สูงอายุ โดยมีการสำรวจแล้วพบว่า ประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปมีจำนวนประมาณ 339.5 ล้านคนในปี 2015 ซึ่งคิดเป็น 26.8% ของจำนวนประชากรทั้งหมดและคาดว่าจะเพิ่มสูงสุดเป็น 387.8 ล้านคนราวปี 2042  โดยในจำนวนนี้ มีจำนวนประชากรผู้มีอายุสูงกว่า 75 ปีขึ้นไปประมาณ 164.6 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 13.0% ต่อจำนวนประชากรทั้งหมดในปี 2015 และจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2025 จะเพิ่มขึ้นเป็น 18.1% และปี 2055 จะเพิ่มเป็น 26.1% เลยทีเดียว

จากสถานการณ์ข้างต้นนี้จะนำมาซึ่งปัญหาใหญ่ระดับประเทศ อันจะมีผู้สูงอายุล้นเมืองเกินกว่าผู้อยู่ในวัยแรงงาน ทั้งภาครัฐบาลและองค์กรเอกชนต่างคิดค้นและจัดหามาตรการรับมือกับการเพิ่มขึ้นของผู้สูงวัยอย่างจริงจัง  เช่น ทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้กำหนดให้บริษัทเอกชนทั้งใหญ่และระดับกลางจัดตั้งระบบรองรับผู้ใช้แรงงานสูงวัยและกำหนดให้รายงานสถานการณ์การจ้างงานผู้สูงอายุให้แก่ทางรัฐทราบเป็นประจำทุกปี โดยให้ทางเลือกอย่างเช่น ทางบริษัทสามารถตั้งระบบเกษียณอายุโดยขยายจาก 60 ปี เป็น 65 ปี หรือตั้งระบบเกษียณอายุสูงกว่า 66 ปีขึ้นไป หรืออาจไม่จัดตั้งระบบเกษียณอายุ แต่ตั้งระบบการจ้างงานแบบต่อเนื่องสำหรับผู้สูงวัยที่มีอายุตั้งแต่ 66 ปีขึ้นไปแทน  โดยในทางเลือกดังกล่าว มีบริษัทที่เลือกระบบการจ้างงานแบบต่อเนื่องเพิ่มขึ้นแล้วเป็น 81.3%  และบริษัทที่จ้างงานผู้สูงอายุถึงอายุ 70 ปีมีแล้วสิ้นถึง 21.2% ในปี 2016

ประเทศไทยซึ่งมีปัญหาการคืบคลานของผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นไม่แพ้ประเทศญี่ปุ่นนั้น จะต้องคิดมาตรฐานและจัดระบบรองรับผู้สูงอายุไว้โดยเร็วที่สุด เพราะจากสถิติที่ภาครัฐคำนวนแล้วนั้น พบว่า ประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุที่อายุสูงกว่า 65 ปีแล้วถึงประมาณกว่า 6 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 8.9% ของประชากรทั้งหมดที่มีอยู่ประมาณเกือบ 70 ล้านคนในปี 2010  ในจำนวนประเทศกำลังพัฒนาในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว ถือว่าประเทศไทยมีการเพิ่มสูงขึ้นของผู้สูงอายุรวดเร็วที่สุด  คาดการณ์ว่าในปี 2024 จะมีผู้สูงอายุเพิ่มเป็น 14% ซึ่งอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ต้องใช้เวลาถึง 24 ปีเมื่อเทียบกับสถิติการเพิ่มขึ้นของญี่ปุ่นเลยทีเดียว

ในทางภาครัฐของไทย ก็ได้รับมือและเริ่มจัดตั้งมาตรการขึ้นแล้วในหลายด้าน เช่น กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำโมเดลเดย์แคร์  เริ่มกิจกรรมกายภาพบำบัดในสถาบันการแพทย์  ส่วนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้การฝึกอบรมอาสาสมัครผู้สูงวัยและจัดตั้งศูนย์พัฒนาสวัสดิการผู้สูงอายุขึ้น อีกทั้งยังร่วมมือกับญี่ปุ่น เพื่อร่วมมือกันรับมือกับปัญหาการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุ ผ่านโครงการการพัฒนาบริการด้านการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งจัดโดย JICA อีกด้วย

เมื่อพบแนวโน้มว่าสังคมญี่ปุ่นและไทยกำลังจะเต็มไปด้วยผู้สูงอายุเช่นนี้ ก็เป็นโอกาสที่ไทยควรจะคิดค้นผลิตภัณฑ์ของกินของใช้ โดยมุ่งเน้นไปที่ผู้สูงอายุซึ่งมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ  โดยคิดค้นหรือปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้มีลักษณะการใช้ที่เหมาะสมกับวัย เช่น ผลิตไม้เท้า เก้าอี้นั่ง หรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการดูแลคนชรา ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม อาหารสำเร็จรูป หรืออาหารในบ้านพักคนชรา เป็นต้น ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งในการเพิ่มการส่งออกมาสู่ญี่ปุ่นและประเทศอื่นที่อยู่ในภาวะผู้สูงอายุล้นเมืองเช่นเดียวกัน อันจะนำมาซึ่งรายได้สู่ประเทศและพัฒนาเศรษฐกิจของไทยได้มากขึ้น