“อุปสรรคค้าปลีก” เมื่อเครื่องขายอัตโนมัติและ IoT หลอมรวมกัน!


เมื่อประมาณ 2-3 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าประเทศญี่ปุ่นพยายามนำร่องการขยายเครือข่าย “เครื่องขายอัตโนมัติ” (vending machines) ให้ครอบคลุมทั้งประเทศจนสามารถเป็นผู้นำเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมี “เครื่องขายอัตโนมัติ” กว่า 5 ล้านเครื่อง คิดเป็น 1 เครื่องต่อประชากร 23 คน และทำรายได้ราว 6 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งจำหน่ายสินค้าต่างๆไม่เพียงเฉพาะเครื่องดื่มหรือสแนคทั่วไปเท่านั้น แต่ญี่ปุ่นได้พัฒนานวัตกรรมใหม่ๆที่เป็นเครื่องขายสำหรับอาหารสด, อาหารแปรรูปและสินค้าโภคภัณฑ์ (commodity) เกือบทุกชนิดที่เราจะสามารถหาได้ในห้างค้าปลีกทั่วไป ส่งผลให้ “เครื่องขายอัตโนมัติ” มีอยู่ในทุกตรอกซอกซอยของประเทศหรือแม้แต่หน้าร้านค้าปลีกก็ตาม ซึ่งความสำเร็จของญี่ปุ่นด้านนี้ส่วนหนึ่งมาจากวัฒนธรรมการบริโภคของชาวญี่ปุ่นที่ชอบความรวดเร็ว สะดวกสบายและนิยมใช้เทคโนโลยี

ปัจจัยที่ทำให้ “เครื่องขายอัตโนมัติ” ประสบความสำเร็จในญี่ปุ่น

  • ค่าแรงงานของชาวญี่ปุ่นมีราคาแพง เนื่องจากอัตราการเกิดลดลงและจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น
  • แรงงานหายากขึ้นเนื่องจากมีคนเข้าเมืองมาทำงานลดลง
  • การกระจุกตัวของประชากรเนื่องจากเป็นประเทศเล็กบวกกับอสังหาริมทรัพย์มีราคาสูง
  • ผู้ประกอบการไม่ต้องการเปิดร้านค้าปลีกเนื่องจากมีต้นทุนสูง
  • เนื่องจากญี่ปุ่นไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องอาชญากรรม ทำให้เครื่องขายอัตโนมัติปลอดภัยเมื่อเทียบกับชาติอื่น ทั้งนี้ญี่ปุ่นก็ได้ติดตั้งวงจรปิดไว้ เมื่อมีขโมยก็จะสามารถแจ้งตำรวจได้ทันที

จากจุดเริ่มต้นเทคโนโลยีนี้ในญี่ปุ่น ทำให้หลายประเทศหันมานิยมใช้เครื่องขายสินค้าอัตโนมัติจนเกิดการพัฒนา “เครื่องขายอัตโนมัติ” สำหรับการขายสินค้าแนวใหม่ๆมากมาย โดยเฉพาะประเทศที่มีพื้นที่มหาศาลอย่างจีนก็ได้หันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีด้านนี้เป็นพิเศษ

ตัวอย่างเช่น “เครื่องขายข้าวอัตโนมัติ” ซึ่งเป็นอีกทางเลือกล่าสุดสำหรับชาวจีนที่ต้องการความสะดวกในซื้อข้าว ปัจจุบันเครื่องดังกล่าวตั้งอยู่หลายจุดในกรุงปักกิ่ง และได้รับความนิยมมากสำหรับชาวบ้านในท้องถิ่น เนื่องจากสะดวก รวดเร็ว และยังได้ข้าวที่มีเส้นใยสูงไม่สูญเสียคุณค่าทางสารอาหาร

เครื่องขายข้าวอัตโนมัติสามารถจำหน่ายข้าวได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยควบคุมปริมาณสินค้าคงคลังและควบคุมอุณหภูมิการเก็บรักษาผ่านทางอินเทอร์เน็ต (IoT : Internet of Thing) กระบวนการบรรจุข้าวใช้ก๊าชไนโตรเจนและเก็บรักษาในที่เย็นเพื่อช่วยรักษาคุณภาพ และสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าว่าเป็นข้าวที่เต็มไปด้วยประโยชน์ โดยผู้ให้บริการเครื่องขายข้าวอัตโนมัติได้รับประกันว่า ข้าวที่นำมาจำหน่ายเป็นข้าวใหม่ผ่านกระบวนการสีข้าว 1 เดือน ถูกจัดเก็บไว้ที่อุณหภูมิคงที่ 15 องศาและผ่านขั้นตอนต่างๆกว่า 180 ขั้นตอนก่อนถึงมือผู้บริโภค

ทั้งนี้ เครื่องขายข้าวอัตโนมัติยังรับชำระค่าสินค้าผ่านมือถือด้วยการสแกน QR Code และชำระผ่านระบบ (Alipay และ WeChat Pay) ซึ่งนวัตกรรมนี้ยังสามารถปรับเปลี่ยนเป็นการขายสินค้าอื่นๆ เช่น บะหมี่ ธัญพืช น้ำมัน ฯลฯ ถือเป็นตัวอย่างการพัฒนาร้านสะดวกซื้อที่ไม่ต้องใช้พนักงานแม้แต่คนเดียว

รูปแบบและวิธีการจำหน่ายสินค้าของจีนได้ก้าวหน้าไปไกลอีกขั้น ซึ่งผู้ประกอบการได้ประยุกต์ใช้ระบบ IoT มาช่วยตอบสนองความต้องการผู้บริโภคในสังคมเมือง ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ต การขายข้าวโดยใช้เครื่องอัตโนมัติ ถือเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจยุคดิจิทัลที่น่าจับตามองที่สุด ฉะนั้น หากธุรกิจรูปแบบนี้เติบโตอยากครอบคลุมในทุกสินค้าโภคภัณฑ์ ก็อาจเป็นอุปสรรคสำคัญของธุรกิจค้าปลีกได้ ซึ่งผู้ประกอบการต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดที่สามารถให้ร้านค้าเข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภค หรืออาจนำเอารูปแบบของ “เครื่องขายอัตโนมัติ” มาประยุกต์ใช้ให้เกิดโอกาสใหม่ๆ

(ตัวอย่างตู้ขายน้ำส้มอัตโนมัติในจีน)