Paysafe ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับทัศนคติของผู้บริโภคต่อเงินสดทั้งกลุ่ม มิลเลนเนียล และอื่นๆ โดยสังเกตจากวิธีการจ่ายเงินของผู้บริโภคกว่าสามพันรายทั่วสหรัฐฯ อังกฤษและแคนาดา ทำให้เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงด้านทัศนคติของกลุ่ม มิลเลนเนียล ที่มีต่อเงินสด และการเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้เงิน ซึ่งเป็นสาเหตสู่การเป็นสังคมไร้เงินสดมากขึ้น
Paysafe ได้ระบุการศึกษาเรื่องนี้ไว้ในรายงานเรื่อง Lost in Transaction ว่าการเคลื่อนตัวเข้าสู่ระบบ mobile first ทำให้เกิดแรงเหวี่ยงขึ้นมากมาย ซึ่งผู้บริโภคกว่า 54% คาดหวังที่จะใช้จ่ายเงินผ่านระบบดิจิทัลในอีกสองปีข้างหน้า โดยเฉลี่ยแล้วผู้บริโภคสหรัฐฯมีเงินสดที่เป็นธนบัตรและเหรียญอยู่ในกระเป๋าสตางค์เพียง 50 เหรียญฯแต่ก็ยังมากกว่าในแคนาดา
ส่วนผู้บริโภคที่ใช้ ATM เป็นประจำทุกเดือนมีจำนวนเกินครึ่งเพียงเล็กน้อย และการยอมรับรูปแบบ mobile wallets มีโอกาสสูงแค่ 1 ใน 3 สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามว่า อะไรคือจุดเปลี่ยนที่สามารถย้ายผู้คนออกจากการจ่ายเงินสด สู่ทางเลือกอื่นๆ ซึ่งคำตอบที่ได้จะช่วยนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลในวงการค้าปลีก โดย Joseph Daly, COO ของ Paysafe Payments Processing มองว่าในตลาดสหรัฐฯควรโฟกัสไปที่ 3 ภาคส่วนของตลาดการค้า
ส่วนแรกคือกลุ่ม มิลเลนเนียล (millennials)
ซึ่งคนกลุ่ม มิลเลนเนียลมองว่าการ์ดไม่ได้เป็น เครดิตการ์ดอีกต่อไป แต่มันแค่นำไปสู่เครดิตต่างๆผ่านทางเครื่องมือต่างๆที่เคลื่อนที่ไปด้วยได้ตลอดเวลา (mobile devices)
Mobile ยังคงเป็นช่องทางหลักของผู้คนใช้ซื้อสินค้าผ่าน Amazon และ e-marketplace อื่นๆ ดังนั้น Walmart จึงนำเสนอการจัดส่งสินค้าอย่างรวดเร็วในสองวัน ด้าน Amazon ก็ทำให้การส่งสินค้าเร็วขึ้น ด้วยการจัดส่งถึงมือผู้ซื้อในวันเดียวกับที่สั่ง หรือแม้แต่ผู้บริโภคที่อายุน้อยก็สามารถรับประสบการณ์นี้ได้ เมื่อใช้ debit card หรือ prepaid card สั่งซื้อวีดิโอเกมส์
สิ่งเหล่านี้เป็นการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการได้รับประสบการณ์ในการซื้อสินค้าอย่างรวดเร็ว เพราะผู้สั่งซื้อมองว่า “การซื้อของพวกเขา ถือเป็นบุญคุณกับผู้ค้า” ซึ่งเป็นความคาดหวังที่เคยได้รับเมื่อครั้งเข้าไปซื้อสินค้าในร้าน
ส่วนที่สองคือผู้บริโภคที่อายุมากขึ้น
ซึ่งมีทัศนคติที่ตรงข้ามกัน เพราะมองว่าการ์ดคือความสะดวก เงินสดคือความรู้สึกสบายใจ โดยจะใช้เครดิตการ์ดกับของที่มีราคาแพง และจะใช้เดบิตการ์ดซื้อของเล็กๆน้อยๆ
สุดท้ายคือกลุ่มผู้บริโภคที่ยังคงซื้อสัตย์ต่อเงินสด
มักเป็นกลุ่มที่ไม่มีบัญชีธนาคารหรือมีเงินในบัญชีน้อย ฉะนั้นเงินสดจึงเป็นสิ่งที่สร้างอิสรภาพการใช้จ่ายของพวกเขาได้ในระดับหนึ่ง ขณะเดียวกัน debit card ก็กำลังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น
การแบ่งแยกแบบตามกลุ่มอายุกำลังเปลี่ยนไป เนื่องจากเกิดทางเลือกที่เป็น cashless การใช้การด์จึงเพิ่มขึ้นเพราะมีระบบการจ่ายบิลต่างๆทางระบบออนไลน์และความต้องการรับรางวัลตอบแทน ที่มาจากการใช้เครดิตการ์ด การศึกษายังพบอีกว่า การที่ธุรกิจค้าปลีกได้เสนอรางวัลให้แก่ลูกค้าที่ใช้เครดิตการ์ด
สิ่งนี้จึงไปปิดเส้นทางการใช้เงินสด และเปิดเส้นทางการใช้การ์ด นั่นเพราะข้อมูลลูกค้าจะถูกเก็บได้จากการ์ดที่ใช้ พร้อมกับการใช้โทรศัพท์และการท่องเว็บเพื่อเข้าไปดูข้อมูลสินค้า ซึ่งถือเป็นการเปิดช่องทางให้โฆษณาสามารถเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง ทั้งนี้ ร้านค้าปลีกบางร้านยังสร้าง mobile wallets ของตนเองขึ้นมา เพื่อติดต่อสื่อสารกับผู้บริโภคโดยตรง และกระตุ้นการบริโภคด้วยการเข้าไปมีบทบาทกับชีวิตของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น
สนองความต้องการ มิลเลนเนียล
ทัศนคติที่เปลี่ยนไปต่อเงินสดนี้ ทำให้ธนาคารหลายแห่งต้องสร้างกลยุทธ์ใหม่ของ ATM เช่น ธนาคาร Chase ได้ลดจำนวนพนักงานหน้าเคาเตอร์ให้เหลือเพียงแค่คนเดียว เพื่อช่วยลูกค้าให้ทำธุรกรรมการเงินผ่านเครื่องอัตโนมัติของธนาคาร
การเคลื่อนตัวออกจากเงินสดและการเข้าสู่ผู้บริโภคที่ใช้การ์ด อาจจะทำให้เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในเรื่องของ Biometrics (คือ วิธีการใช้ข้อมูลทางชีวภาพ มาใช้ในการตรวจสิทธิหรือแสดงตน เช่น ลายนิ้วมือ ฝ่ามือ เสียง ม่านตา เรตินา ใบหน้า ดีเอ็นเอ ลายเซ็น) เพราะกรณี Equifax ถูกขโมยข้อมูลก็ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ปลอดภัย กับระบบต่างๆซึ่งอาจจะนำไปสู่การเติบโตอย่างรวดเร็วของการนำ Biomatrics มาใช้
source | pymnts.com
[บทความทั้งหมด] | [คลิปรายการทั้งหมด]