“Everyday High Price” การเปลี่ยนกลยุทธ์ของ Walmart เพื่อมัดใจลูกค้าออฟไลน์


บทความจาก สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส

ดูเหมือนว่าการซื้อสินค้าทางออนไลน์กับ Walmart จะต้องจ่ายแพงกว่าการซื้อสินค้าในร้านค้าแบบออฟไลน์ซะแล้ว เพราะล่าสุด The Wall Street Journal รายงานว่า Walmart ได้ขึ้นราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและของใช้ในบ้านบางรายการบนร้านค้าออนไลน์

การขายสินค้าทางออนไลน์ในราคาที่แพงกว่า การเดินทางไปซื้อจากร้านค้าปลีก คง ไม่ใช่เรื่องแปลกในธุรกิจค้าปลีกสหรัฐฯ เพราะก่อนหน้านั้น Costco ก็ใช้กลยุทธ์เดียวกัน เพียงแต่การเข้าสู่นโยบาย “Everyday High Price” ของ Walmart เป็นเรื่องแปลกใหม่เพราะมันไปสวนทางกับนโยบายดั้งเดิมของบริษัทที่ว่า “everyday low prices”

Walmart อธิบายว่าสินค้าหลายๆรายการ โดยเฉพาะสินค้าที่ได้รับความนิยมสูง ยังคงมีราคาขายเท่ากันระหว่าง 2 ช่องทาง ออนไลน์และออฟไลน์ แต่แหล่งข่าวภายในเปิดเผยว่า Walmart กำลังทดลองระบบใหม่ ทำให้ค่าใช้จ่ายของสินค้าไม่ทำกำไรหากต้องส่งสินค้านั้นๆให้กับลูกค้า และบางกรณี รายการสินค้าบน Walmart.com จะมีราคาเท่ากับที่ขายในร้านค้าปลีก และบ่อยครั้งที่ราคาจะเท่ากับที่เสนอขายใน Amazon

โฆษกของ Walmart แจ้งว่า ในการค้าทางออนไลน์ บริษัทฯจะเสนอสินค้าในราคาที่สอดคล้องกับราคาของบริษัทอื่นๆ แต่ค่าใช้จ่ายในการขายสินค้าที่ร้านค้าปลีกแบบออฟไลน์จะถูกกว่าทางออนไลน์ โดยลูกค้าสามารถดูราคาขายในร้านค้าปลีกได้จากเว็บไซต์และไปรับสินค้าได้ที่ร้าน โดยการตั้งราคาสินค้าที่ร้านค้าปลีกให้ต่ำกว่าการขายผ่านออนไลน์ อาจจะเป็นกลยุทธ์อันชาญฉลาด เพื่อการดึงลูกค้าให้ซื้อสินค้ามากขึ้น

ธุรกิจอีคอมเมิร์ชของ Walmart มีการเติบโตอย่างรวดเร็วในเวลา 18 เดือนที่ผ่านมา เพราะการเติบโตของยอดขายได้เพิ่มขึ้นเป็น 60% ในไตรมาสที่สองของปี 2017

Marc Lore หัวหน้าฝ่ายอีคอมเมิร์ชของ Walmart บอกกับนักลงทุนว่า ปีนี้อาจจะเป็นปีที่ขาดทุนมากที่สุดในการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ช แต่ปีหน้าสถานการณ์จะดีขึ้น และระบุด้วยว่า สำหรับสินค้าที่ราคาไม่แพง ไม่มีทางไหนที่จะถูกไปกว่าการขายสินค้าเหล่านี้ให้กับลูกค้าผ่านช่องทางที่ให้ลูกค้าเข้าไปหยิบสินค้าออกจากชั้นด้วยตนเอง และเป้าหมายของบริษัทฯ คือให้ลูกค้าเข้าร้านเพื่อซื้อสินค้า เพราะที่ร้านเสนอราคาที่ดีกว่า และให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าจำนวนมากทางออนไลน์เพื่อเป็นการทดแทนค่าใช้จ่ายในการจัดส่งสินค้า