เปลี่ยน “เป้าหาย” เป็นเป้าหมาย เริ่มต้นได้ด้วยความเชื่อ


คนที่คิดว่า “ฉันทำไม่ได้” กับคนที่คิดว่า “ฉันทำได้” คือคนที่คิดถูกทั้งคู่ แต่คำถามก็คือ…คุณเป็นคนไหน
Cr. เฮนรี่ ฟอร์ด มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน

ลองอ่านข้อความนี้แล้วคิดดูดีๆ หากคนหนึ่งตั้งเป้าหมายว่าจะรวย แต่เขา “ไม่เชื่อ” ว่าตัวเองจะสามารถร่ำรวยได้ เขาจะเริ่มลงทุนไหม…
หากคนคนหนึ่งตั้งเป้าว่าอยากชนะ แต่เขา “ไม่เชื่อ” ว่าตัวเองจะสามารถชนะได้ เขาจะฝึกซ้อมเพื่อลงแข่งไหม…
และหากคนคนหนึ่งตั้งเป้าว่าอยากมีคู่ชีวิตที่ดี แต่เขา “ไม่เชื่อ” ว่าตัวเองจะคู่ควรกับสิ่งดีๆ ในชีวิต เขาจะสรรหาคนดีๆ เข้ามาในชีวิตไหม…

คงไม่มีทาง จริงไหม…
ดังนั้นหลังจากที่ตั้งเป้าหมายไว้ชัดเจนแล้ว “ความเชื่อ” คือจุดสตาร์ทที่สำคัญที่สุดของการเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะความเชื่อเป็นเหมือนกับประตูบานแรกที่จะนำไปสู่ขุมสมบัติภายในตัวคุณ และถือเป็นหน้าต่างบานแรกซึ่งจะเปิดให้คุณเห็นโอกาสมากมายที่ลอยอยู่ในอากาศ

ในทางตรงกันข้าม หากประตูแห่งความเชื่อของคุณยังถูกปิดอยู่ ต้อให้คุณมีสิ่งดีๆ มากมายแค่ไหนภายในตัว มันก็จะถูกปิดตายอยู่ในนั้น ไม่ได้ถูกนำมาใช้เลย และต่อให้โลกมีโอกาสมากมายแค่ไหน คุณก็จะมองไม่เห็นมันและเอื้อมมือไปคว้ามันไม่ได้ แม้คุณจะมีเป้าหมายชัดเจนเนื่องจากความเชื่อจะขังคุณไว้ใน “คุกแห่งความคิด” และจับคุณใส่ลงไปในลิมิตของชีวิตที่คุณสร้างขึ้นมาเอง
หากยังไม่เห็นภาพว่าความเชื่อสำคัญขนาดไหน เรื่องราวต่อนี้คงจะช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดี…
หลายคนอาจเคยได้ยินเรื่อง เสากันช้างหนี กันมาบ้างแล้ว

เรื่องมีอยู่ว่า สมัยก่อนมีธรรมเนียมว่าเวลาควาญช้างจะพาช้างไปแสดงที่ไหนเขาจะพกเสาเหล็กเสาเล็กๆ ติดตัวไปด้วยเสาหนึ่ง และเมื่อไหร่ที่เขาอยากจะให้ช้างอยู่ในบริเวณที่ต้องการควาญช้างก็จะปักเสาเล็กๆ นี้ลงบนพื้นดิน แล้วเอาโซ่มาล่ามกับขาช้างไว้
ที่น่าแปลกคือ ช้างผู้น่าสงสารจะไม่หนีไปไหนเลย ไม่ว่ามันจะหงุดหงิด หิว เบื่อ เกิดอารมณ์ทางเพศ หรืออยากไปทำธุระส่วนตัวมากแค่ไหน มันจะไม่หนีออกไปจากบริเวณที่มีเสาและโซ่อยู่ ทั้งๆ ที่มันมีพละกำลังอันมหาศาล เพียงแค่มันเดินไปจนโซ่ตึงแล้วกระตุกเบาๆ หนึ่งครั้ง เสาก็จะหลุดออกจากพื้นอย่างง่ายดายแล้ว

…ถามว่าทำไมมันถึงไม่ทำ

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าตอนที่ช้างเพิ่งเกิด มันเคยถูกล่ามกับเสา เสาเดียวกันนี้มาแล้ว และไม่ว่ามันจะพยายามดึงเสาให้หลุดจนสุดแรงเท่าไหร่ก็ทำไม่ได้ เนื่องจากตอนนั้นมันไม่มีพละกำลังมากพอ เมื่อโตขึ้นมาเรื่อยๆ มันก็เชื่อมาเสมอว่า เสานี้คือ “เสาที่ไมมีวันหลุด” จากนั้นไม่ว่าตัวมันจะใหญ่แค่ไหน หรืออยากหนีไปเพียงไร มันก็ไม่เคยพยายามลองดึงเสาอีกเลย
เราอาจจะคิดว่า “ทำไมช้างถึงโง่อย่างนี้ มันไม่รู้เลยหรือว่าตัวมันใหญ่ขึ้นกว่าเดิมตั้งสิบเท่าแล้ว แค่ลองดึงดูสักทีก็เป็นอิสระแล้ว!”
อย่าเพิ่งไปว่าช้างเลยครับ…ลองถามตัวเองดูก่อนเถอะว่า แล้วเราล่ะ เคยคิดแบบนี้บ้างไหม…

 

ฉันไม่น่าจะรวยได้เหมือนเขา
เราไม่น่าจะทำสำเร็จ
เกิดมาก็ได้แค่นี้แหละ
ฉันเป็นคนขี้เกียจ
ดวงเรามันไม่ถึง
ให้ไปไกลกว่านี้คงไม่ไหว

ฯลฯ

ถ้าคุณเคยคิด แล้วคุณเชื่อความคิดเหล่านั้น คุณก็ไม่ต่างอะไรไปจากช้างตัวนั้นมากนัก!

คนเรามักปักเสาไว้ให้ตัวเองมากมาย เช่น 

ปัก “เสาความรวย” ด้วยความเชื่อที่ว่า “ฉันขอมีเงินแค่นี้พอ เพราะคงไม่มีปัญญามีได้มากเหมือนเศรษฐี” 

ปัก “เสาความรัก” ด้วยความเชื่อที่ว่า “ฉันคงขาดใจ ถ้าขาดเขาไป” หรือ “ชีวิตนี้เราคงไม่ควรคู่กับคนดีแน่นอน”

ปัก “เสาความสำเร็จ” ด้วยความคิดที่ว่า “ไม่เห็นมีใครทำได้เลย แล้วเราจะทำได้อย่างไร” 

ฯลฯ

กุญแจทางจิตวิทยาที่คุณต้องจำไว้เสมอเลยก็คือ “คุณจะไม่มีวันเดินไกลไปกว่าเสาที่คุณปักไว้” หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ “คุณจะไม่มีวันประสบความสำเร็จได้ไกลกว่าความเชื่อของคุณ”

นั่นคือเหตุผลที่ความเชื่อเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด หลังจากการตั้งเป้าหมาย เพราะไม่ว่าเป้าหมายจะชัดแค่ไหน ถ้าคุณไม่เชื่อว่าเป้าหมายนั้นสามารถเป็นไปได้ มันก็มีค่าเท่ากับ “เป้าหาย” เท่านั้นเอง 

 

Source :  หนังสือ สมองเศรษฐี ความมั่งมีสร้างด้วยสมองและสองมือ

โดยคุณขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร นักจิตวิทยาพัฒนาสมองจากมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศออสเตรเลีย