Smart SME

How-To

5 เทคนิคที่จะช่วยให้คุณมีรายได้มากกว่างานประจำ


สิ่งที่คุณกำลังจะได้อ่านต่อจากนี้คือเคล็ดลับของ Luisa Zhou ผู้สร้างระบบ Employee to Entrepreneur ซึ่งใช้ในการให้ความรู้กับผู้คนถึงวิธีที่จะออกจากงานประจำของพวกเขา แล้วเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง

1.ลบทิ้ง-มอบหมาย-ทำเอง

นี่คือหนึ่งในเคล็ดลับการสร้างความสำเร็จของเธอ เธอจะเริ่มต้นจากการเขียนสิ่งที่เธอกำลังจะทำในแต่ละวันขึ้นมา จากนั้นก็จัดลำดับความสำคัญ งานไหนที่ไม่จำเป็นต้องทำก็ให้ลบทิ้ง งานไหนที่มีคนทำแทนได้ก็ให้มอบหมาย และสุดท้ายก็จะเหลืองานที่เธอจะต้องทำเองจริงๆ หากคุณลองทำคุณจะพบว่ามันเหลืองานที่คุณจะต้องทำจริงๆ น้อยมาก นั่นหมายความว่าคุณจะมีเวลาเพิ่มขึ้นสำหรับเอาไปทำเรื่องสำคัญมากขึ้นแล้ว

2.ใช้ประโยชน์จาก “เวลาว่าง”

ในหนึ่งวันหากคุณพิจารณาอย่างแท้จริงแล้วคุณจะพบว่า มีช่วงเวลาว่างระหว่างกิจกรรมต่างๆ ที่คุณจะต้องทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่ใช้รออาหารในแต่ละมื้อ เวลาที่ใช้ในการรอขณะเดินทาง หรือแม้แต่ระหว่างรอรับการตรวจที่โรงพยาบาล เธอใช้เวลาเหล่านี้ไปกับการเรียนรู้หลักสูตรใหม่ๆ ทำการตอบอีเมลของลูกค้า และใช้ในการสร้างเนื้อหาสำหรับโซเชียลมีเดีย คุณเริ่มจะเห็นความสวยงามของเวลาว่างบ้างแล้วหรือยัง

3.ทำงานให้เข้ากับจังหวะชีวิตของคุณ

หลายคนบอกว่าเคล็ดลับการเพิ่มผลผลิตการทำงานคือการตื่นแต่เช้า เพราะซีอีโอของบริษัทใน Fortune 500 ล้วนแล้วแต่ทำกัน แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่ได้เหมาะกับทุกคน เธอเองรู้ตัวดีว่าเธอเป็นพวกนอนดึกและทำงานได้ดีในช่วงดึก ดังนั้นเธอจึงออกแบบให้ตัวเธอทำงานสำคัญในช่วงเวลาที่เธอพร้อมเท่านั้น คุณต้องรู้จักตัวเองก่อนว่าช่วงเวลาไหนที่คุณทำงานได้ดีที่สุด ช่วงเวลาไหนที่ทำได้แค่งานง่ายๆ

4.ทำตามตารางเวลาที่คุณคิดมาแล้ว

ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายแต่เชื่อหรือไม่ว่า ทุกวันนี้คุณก็ยังคงปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปวันๆ เธอแนะนำว่าการวางแผนการใช้เวลาเป็นสิ่งสำคัญ เพราะคุณรู้ว่าใน 1 วันคุณมีเวลาช่วงไหนเพื่อทำอะไร ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่คุณกำหนดเอาไว้ว่าจะทำอะไร ก็เพียงแค่ลงมือทำตามที่กำหนดไว้ทันที อย่าเสียเวลาเตรียมตัวหรือเสียเวลาคิด เพราะคุณคิดมาเสร็จเรียบร้อยแล้วว่าเวลาช่วงนั้นๆ คุณจะต้องทำอะไร

5.กำหนดเป้าหมายแล้วทำสิ่งที่สนับสนุนเป้าหมายเท่านั้น

เคล็ดลับนี้นอกจากจะทำให้ประหยัดเวลาแล้วยังเป็นเคล็ดลับในการสร้างธุรกิจอีกด้วย เธอแนะนำว่าในแต่ละเดือนให้ทำการกำหนดเป้าหมายหลักเอาไว้ 1 เรื่อง และระหว่างเดือนนั้นๆ กำหนดให้ทุกงานที่คุณต้องทำ เป็นการทำเพื่อสนับสนุนเป้าหมายเท่านั้น หากมีงานที่นอกเหนือจากเป้าหมายประจำเดือนให้รอไปก่อน ข้อนี้จะเป็นการทำให้คุณใช้เวลาได้คุ้มค่าและเป็นประโยชน์มากขึ้น

นั่นคือวิธีที่เธอสามารถสร้างแรงผลักดันและการเติบโตในธุรกิจของเธอเองในขณะที่ทำงานประจำ นอกจากนี้เธอยังบอกว่า การที่เธอมีเวลามากขึ้นนั้นมันเกิดจากการสละเวลาที่ใช้ในการดูรายการทีวียอดนิยมต่างๆ นั่นเอง เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายแต่เป็นไปได้ กุญแจสำคัญคือคุณภาพในเชิงปริมาณ โดยใช้เวลาที่จำกัดในการทำงานกับรายการที่ต้องทำ ซึ่งสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการเติบโตทางธุรกิจ

อ้างอิง:

Related Posts

ธุรกิจ

อ่านสิ่งนี้ก่อน! หากอยากลาออกจากงานมาเปิดธุรกิจเป็นของตัวเอง

ในยุคสร้างเนื้อสร้างตัวที่ใคร ๆ ต่างอยากจะเป็นเจ้าของธุรกิจ เป็นนายของตัวเอง ไม่อยากต้องเป็นลูกจ้างตลอดไป โดยหนึ่งในแนวทางเพื่อปูทางไปสู่เป้าหมาย คือการทำงานเป็นพนักงานไปสักระยะหนึ่งก่อน พร้อมกับเก็บเงิน สะสมประสบการณ์ หลังจากนั้นเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็ลาออกจากงานมาสร้างกิจการส่วนตัว เรื่องราวของ Courtney Leigh ที่มีความฝันอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ และเมื่อถึงอายุ 40 ปี จึงตัดสินใจลาออก มาทำเรื่องที่เป็นเป้าหมายอย่างเต็มตัว แต่เมื่อลงสนามนี้กลับพบว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ นานา มากมายที่เข้ามา จากที่คาดหวังจะประสบความสำเร็จในเส้นทางนี้ สุดท้ายเวลาผ่านไป พบว่าตัวเองยังก้าวไม่ไปไหนสักที     แน่นอนว่า Leigh ได้ข้อคิดจากเรื่องที่เกิดขึ้น และสามารถนำมาเตือนใจคนที่คิดอยากลาออกจากงานมานายตัวเองได้เป็นอย่างดี   ใช้เงินเยอะไม่ได้การันตีความสำเร็จ การเริ่มต้นกิจการ ด้วยความที่ไฟแรง สิ่งต่าง ๆ จะเข้าไปมาอยู่ในหัวมากมายกับเรื่องที่อยากจะทำ ไม่ว่าจะเป็น การซื้อของตกแต่ง, การซื้ออุปกรณ์สำนักงาน, การยิงโฆษณาทำการตลาด แม้ว่าทุกอย่างจะออกมาดูดี แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าสิ่งที่ทำอยู่ปลายทางจะประสบความสำเร็จ ดังนั้น ควรใช้เงินด้วยความระมัดระวัง ไม่เอาไปเผาเล่น รู้ว่าเรื่องอะไรควรใช้จ่าย บรรยากาศทำงานที่เปลี่ยนไป ปกติหากเป็นพนักงานบริษัทก็จะมีการทำงานที่เฉพาะเจาะจง เช่น เข้างาน 9 โมงเช้า […]

Brand Loyalty

เทคนิคสร้าง Brand Loyalty รักษาลูกค้าเดิม เพิ่มลูกค้าใหม่ ต้องทำอย่างไร

การสร้าง Brand Loyalty นั้นเป็นหนึ่งในวิธีการที่จะทำธุรกิจมีความยั่งยืน เพราะถ้าหากลูกค้ามีความภักดีต่อแบรนด์ ก็จะเกิดการซื้อซ้ำ ไปจนถึง ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์  อย่าง การเป็นสมาชิก , หรือการให้ Feedback ที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การที่แบรนด์จะก้าวไปถึงจุดนั้นได้จะต้องสร้างความเชื่อใจ  ความน่าเชื่อถือของสินค้า หรือบริการ ต่อลูกค้าให้ได้นั่นเอง ซึ่งนั่นก็คือ     Trust ความเชื่อมั่น   คือสิ่งที่สร้างได้ยาก แต่เมื่อสร้างได้แล้ว จะเป็นทรัพย์สินที่ทรงคุณค่าของธุรกิจเลย เปรียบเสมือนรากแก้วที่สำคัญ ที่จะเป็นรากฐาน ทำให้ธุรกิจเติบโตได้ในอนาคต อย่างมั่นคง การจะสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นได้นั้นมีองค์ประกอบหลายปัจจัย แต่ 2 สิ่งที่สำคัญที่สุด และ เป็นประตูเพื่อเปิดออกไปเชื่อมโยงสู่วิธีการอื่นๆนั้นก็คือ Quality คุณภาพ และ Satisfaction ความพึงพอใจ ไม่มีใครหรอกที่อยากจะทานอาหารรสชาติแย่ๆ สกปรก ไม่ปลอดภัย และก็ไม่มีใครอยากใช้ ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีประสิทธิภาพ ใช้งานยาก และไม่มีความทนทาน และก็ไม่มีใครที่อยากจะใช้บริการที่ เชื่องช้า อัธยาศัยไม่ดี และมีประสิทธิภาพครึ่งๆกลางๆ     […]

จิตวิทยา

จิตวิทยาปิดการขาย ทำอย่างไรให้ลูกค้าซื้อสินค้าแบบไม่ลังเล

ทักษะการเจรจาถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ทำธุรกิจ หากมีเทคนิค รู้วิธีการก็จะทำให้การพูดคุยกับลูกค้าสามารถได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการนั่นคือปิดการขาย ขายสินค้าได้สำเร็จนั่นเอง   แน่นอนว่าทักษะเหล่านี้ คนทำธุรกิจสามารถฝึกฝนกันได้ เมื่อทำบ่อย ๆ ก็จะกลายเป็นความชำนาญ ที่จะรู้ถึงจังหวะ การวิเคราะห์ การคาดการณ์ว่าจะทำอย่างไร     นี่คือหลักการจิตวิทยาการขาย ทำอย่างไรให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าแบบไม่ลังเล   อย่าสนใจเกี่ยวกับฟีเจอร์สินค้า   ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับการขายนั้นชี้ให้เห็นถึงความชัดเจนข้อหนึ่งว่า พนักงานขายที่พูดถึงลักษณะสินค้าที่เสนอขาย มีแนวโน้มที่จะปิดการขายได้น้อยลงมาก แทนที่จะพูดเรื่องนี้ลองเปลี่ยนมาทำความเข้าใจกับความต้องการของลูกค้าก่อนจะดีหรือไม่   จากนั้นลองจับคู่ความต้องการนั้นกับโซลูชันที่คุณต้องการอยากจะแก้ปัญหาอย่างแท้จริง อย่ามุ่งที่จะขายมากจนเกิดไป ตรงนี้จะสร้างความสมเหตุสมผลที่จะโน้มน้าวให้ลูกค้าซื้อสินค้าได้ดีกว่า   พูดด้วยจังหวะที่ช้า การพูดที่ดีควรมีจังหวะที่น่าสนใจ โดยข้อมูลระบุว่าการพูดที่ใช้คำน้อยลงต่อนาทีจะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้น สอดคล้องกับพนักงานขายชั้นนำที่มักพูดน้อยเหมือนกัน  ยิ่งเราสามารถชะลอจังหวะ สนทนาอย่างสบาย ๆ ไม่เร่งรีบ และมีการโต้ตอบกันอย่างจริงใจมากเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะปิดการขายก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น   ต้องยอมรับกันตามตรงว่า เวลาคุณพูดคุยกับใครสักคนที่รู้สึกสบายใจ จังหวะการสนทนาก็จะช้าลงตามธรรมชาติ และจะไม่รู้สึกถึงความเร่งรีบ หรือคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะพูดอะไรต่อไป   ครึ่งหนึ่งของลูกค้าไม่เหมาะกับสิ่งที่คุณขาย   ข้อมูลสำคัญอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับการขาย คือลูกค้าเป้าหมายประมาณครึ่งหนึ่งไม่เหมาะกับสิ่งที่คุณขาย ดังั้น คุณต้องยอมรับความจริงข้อนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้น จิตวิทยาในการขายของคุณก็จะเปลี่ยนไป   […]