ส่งออกกุ้ง กับสถานะ Tier 3 ในรายงานการค้ามนุษย์ของสหรัฐฯ


จากปัญหาการขาดแคลนกุ้งนับตั้งแต่ปลายปี 2555 ต่อปี 2556 จนถึงปัจจุบันล่วงเข้าปลายปี 2557 สถานการณ์กลับยังไม่สามารถที่จะคลี่คลายกลับมาสู่ภาวะปกติได้ แม้ว่าทุกฝ่ายจะพยายามเร่งแก้ไข ส่งผลให้การส่งออกกุ้ง ของไทยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2557 หดตัวลงร้อยละ 17 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ด้วยมูลค่า 1,006 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเนื่องจากในปี 2556 ที่หดตัวสูงถึงเกือบร้อยละ 27 ทั้งนี้ภาพการหดตัวในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ เกิดขึ้นในทุกตลาดส่งออกสำคัญของไทย ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 2.1 ต่อปี ญี่ปุ่น หดตัวร้อยละ 33 ต่อปี สหภาพยุโรป หดตัวร้อยละ 18.8 ต่อปี และอาเซียน หดตัวร้อยละ 31.3 ต่อปี โดยมีเพียงบางตลาด อาทิ เยอรมนี เกาหลีใต้ และฮ่องกงที่มูลค่าการส่งออกยังขยายตัวได้ร้อยละ 10.2 ต่อปี ร้อยละ 9.7 ต่อปี และร้อยละ 18.7 ต่อปี ตามลำดับ

อีกทั้งส่วนแบ่งสินค้ากุ้งของไทยที่ส่งออกไปในตลาดหลัก คือ สหรัฐฯ กลับมีทิศทางที่ปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่อง จากที่สหรัฐฯ เคยนำเข้ากุ้งจากไทยด้วยสัดส่วนร้อยละ 34 จากการนำเข้าสินค้ากุ้งจากทั่วโลกในปี 2554 ส่วนแบ่งของไทยในตลาดสหรัฐฯได้ลดลงมาเป็นร้อยละ 27 ในปี 2555 ร้อยละ 20 ในปี 2556 และล่าสุดอยู่ที่ร้อยละ 11 ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 ขณะที่คู่แข่งทั้งอินโดนีเซีย เวียดนาม และเอกวาดอร์มีส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นนัยว่าไทยได้สูญเสียส่วนแบ่งสินค้ากุ้งในตลาดสหรัฐฯ ไปอย่างมาก เพราะปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบเป็นหลัก ซึ่งสหรัฐฯนับเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของสินค้ากุ้งของไทย

และเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางปี 2557 อุตสาหกรรมกุ้งส่งออกของไทย ก็ถูกปรับลดสถานะเป็น Tier 3 ในรายงานการค้ามนุษย์ของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าตลอดระยะเวลาที่ไทยอยู่ในสถานะ Tier 2 Watch List ทุกภาคส่วนจะได้พยายามในการดูแลแก้ไขประเด็นด้านแรงงานและให้ข้อมูลต่อคู่ค้ามาอย่างต่อเนื่องก็ตาม ทั้งนี้แม้จะเริ่มเข้าสู่ฤดูการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังแต่ประเด็นด้านแรงงานที่สร้างแรงกดดันเพิ่มเติมปัจจัยลบหลักที่มีอยู่เดิมคงจะทำให้ภาพการฟื้นตัวของการส่งออกสินค้ากุ้งของไทยจำเป็นต้องเลื่อนออกไปจากเดิมและอาจจะไม่สามารถเกิดขึ้นอย่างชัดเจนได้ภายในปี 2557

ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงมีมุมมองที่ระมัดระวังโดยประเมินว่าการส่งออกกุ้งของไทยในปี 2557 จะยังคงหดตัวต่อเนื่องอีกราวร้อยละ 20เพราะแม้ความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ผู้ผลิตและผู้ส่งออก ในการเร่งชี้แจงทำความเข้าใจต่อคู่ค้าจะช่วยบรรเทาความสูญเสียที่เกิดขึ้นต่อความเชื่อมั่นในภาพลักษณ์สินค้าไทยในสายตาผู้นำเข้า/ผู้ซื้อในตลาดต่างประเทศให้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นได้ในระดับหนึ่งแต่กว่าที่สถานการณ์ด้านวัตถุดิบจะฟื้นตัวอย่างชัดเจนจนกลับสู่ภาวะปกติได้ น่าจะไปเกิดขึ้นในปี 2558 ขณะเดียวกัน การยกสถานะไทยในรายงานการค้ามนุษย์ของสหรัฐฯ ให้ดีขึ้นก็คาดว่าอาจจะต้องรอไปจนถึงช่วงกลางปี 2558

และ

สำหรับการดำเนินมาตรการแก้ปัญหาด้านแรงงานและการขาดแคลนวัตถุดิบกุ้งของภาครัฐในปัจจุบัน มีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยมีความคืบหน้าดังต่อไปนี้ การดำเนินการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์และจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวร่วมกับภาคส่วนอื่นๆ พร้อมเร่งชี้แจงเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศคู่ค้า พร้อมกันนี้ภาครัฐก็ได้อนุมัติวงเงิน 16.095 ล้านบาทเพื่อดำเนินโครงการควบคุมและลดความสูญเสียของสินค้ากุ้งทะเลจากโรค EMS อย่างเร่งด่วนด้วยการเร่งเพาะพันธุ์ลูกกุ้งทะเลในประเทศเพื่อรองรับการผลิตในปีต่อไปโดยล่าสุด พ่อแม่พันธุ์กุ้งที่กรมประมงสั่งนำเข้ามาจำนวน 1,500 คู่มีกำหนดถึงประเทศไทยภายในเดือนสิงหาคม 300 คู่ และภายในเดือนกันยายนอีก 1,200 คู่ส่วนความพร้อมของโรงเพาะฟักที่จะดำเนินการผลิตลูกพันธุ์กุ้งทะเลของกรมประมงและของภาคเอกชน อยู่ระหว่างการตรวจประเมินศักยภาพ คุณภาพและความพร้อมโดยเจ้าหน้าที่ของกรมประมง

สำหรับผลกระทบที่ส่งผลต่อผู้ประกอบการ SMEs โดยหากไทยไม่สามารถแก้ปัญหาด้านแรงงานได้อย่างเป็นรูปธรรมอาจเป็นประเด็นที่คู่ค้าในตลาดโลกนำมาใช้เป็นมาตรการกีดกันที่มิใช่ภาษี (Non-tariff measures) ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันการส่งออกกุ้งเพิ่มเติมจากเดิมที่ไทยมีปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบกุ้งอยู่แล้วรวมไปถึงกระทบต่อผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมประมงไทยตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีการใช้แรงงานอย่างเข้มข้นโดยเฉพาะแรงงานไร้ฝีมือ ซึ่งที่ผ่านมาไทยขาดแคลนแรงงานดังกล่าวในประเทศทำให้แรงงานต่างด้าวเข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมประมงอย่างมากโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งยังต้องพึ่งพาแรงงานเป็นหลักอาจได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากประเด็นดังกล่าว ตลอดทั้งสายการผลิต (Traceability) ทั้งนี้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าว่าสินค้ากุ้งที่นำเข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน

 

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการ SMEs ควรมีแนวทางการปรับตัวรวมทั้งมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาแรงงานการค้ามนุษย์และการขาดแคลนแรงงานในประเทศ ดังนี้ อันดับแรกคือเข้าร่วมใช้แนวทางการปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (GLP) ซึ่งเป็นการรับรองว่าสถานประกอบการมีการปฏิบัติต่อลูกจ้างตามมาตรฐานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization: ILO) ในระดับสากลหากผู้ประกอบการเข้าร่วมน่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าได้รวมทั้งสร้างภาพลักษณ์ด้านแรงงานที่ดีให้กับประเทศ ต่อมาคือการเลือกใช้แรงงานต่างด้าวที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายและยื่นรายชื่อแรงงานต่างด้าวในสังกัดเข้าจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายตลอดจนการให้สิทธิประโยชน์แรงงานต่างด้าวตามสวัสดิภาพแรงงานเช่นเดียวกับแรงงานในประเทศ เพื่อจูงใจให้แรงงานต่างด้าวทำงานนานขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการดำเนินกิจการ โดยการบริหารจัดการที่ดีและนำเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้นเพื่อลดการพึ่งพาแรงงานเป็นหลักซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากปัญหาการขาดแคลนแรงงานต้นทุนแรงงานที่คาดว่าจะสูงขึ้นรวมถึงป้องกันการใช้ประเด็นแรงงานเป็นมาตรการกีดกันที่มิใช่ภาษีจากคู่ค้า

 

อนึ่ง การดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวแม้ในที่สุดแล้วอาจทำให้ผู้ประกอบการ SMEs มีภาระต้นทุนค่าใช้จ่ายสูงขึ้นแต่มีแนวโน้มที่จะทำให้กระบวนการผลิตได้รับการยอมรับจากคู่ค้า ขณะเดียวกันแรงงานเองก็มีแนวโน้มที่จะสมัครใจช่วยเหลือกิจการมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการสร้างความยั่งยืนมากขึ้นให้กับการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการในระยะยาว