มหาลัยชั้นนำโลกชี้ ภูมิหลัง เพศและชาติพันธุ์ของเด็กรุ่นใหม่ ยังมีผลต่อการเป็น นักประดิษฐ์
มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และฮาร์วาร์ด ทำการศึกษาพบประเด็นที่น่าสนใจ นั่นคือการพบว่า เด็กที่เติบโตมาในครอบครัวมีฐานะ มีโอกาสมากกว่าที่จะเป็น นักประดิษฐ์ ในอนาคต เมื่อเทียบกับเพื่อน ๆ วัยเดียวกันที่ครอบครัวทางบ้านมีฐานะแย่กว่า นอกจากนั้น งานวิจัยชิ้นนี้ยังพบด้วยว่า การขาดที่ปรึกษาด้านนวัตกรรม และการขาดโอกาสศึกษาดูงานก็เป็นตัวสะกัดกั้นการพัฒนานวัตกรรมด้วยเช่นกัน งานวิจัยชี้ว่า สังคมที่อยู่ในสภาพปัจจุบันนี้เป็นสังคมที่ไม่เหมาะกับการสร้างนักประดิษฐ์ เว้นแต่คนๆ นั้นจะมีพลังใจอย่างแรงกล้าที่จะสร้างนวัตกรรมนั้น ๆ ด้วยตัวเอง โดยไม่หวั่นต่อความยากลำบาก
นอกจากนั้น หากเปรียบเทียบในแง่ของเชื้อชาติแล้ว นักวิจัยพบว่า เด็กผิวขาวมีโอกาสมากกว่าเด็กผิวดำถึงสามเท่าในการก้าวขึ้นเป็นนักประดิษฐ์ ขณะที่ถ้าเปรียบเทียบกันในเรื่องเพศแล้ว พบว่า นักประดิษฐ์หญิงที่มีอายุเกิน 40 ปีนั้นมีเพียง 18 เปอร์เซ็นต์ของนักประดิษฐ์ทั้งหมด ซึ่งอาจต้องใช้เวลาอีกประมาณ 118 ปี เพื่อให้ช่องว่างนี้หมดไป
ที่น่าสนใจก็คือ งานวิจัยชิ้นนี้บอกว่า ถ้าผู้หญิงและเด็กจากครอบครัวที่มีฐานะยากจนได้รับโอกาสเทียบเท่ากับผู้ชายผิวขาวที่ครอบครัวมีฐานะทางการเงินที่ดีแล้วล่ะก็ โลกจะมีนักประดิษฐ์มากกว่านี้ถึงสี่เท่าตัว มากไปกว่านั้น การได้อาศัยอยู่ในชุมชนที่มีแต่นักประดิษฐ์มีผลอย่างมากต่อเด็กคนนั้นให้เติบโตขึ้นเป็นนักประดิษฐ์ตามไปด้วย
อเล็กซานเดอร์ เบลล์ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวว่า การอาศัยอยู่ในย่านที่เต็มไปด้วยนักประดิษฐ์นั้น สามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการที่เด็กคนนั้นจะโตไปเป็นนักประดิษฐ์ได้อย่างน้อย 17 เปอร์เซ็นต์
“แบ็คกราวน์ของครอบครัวและสภาพแวดล้อมในวัยเด็กมีผลอย่างมากต่อการสร้างคนสักคนหนึ่งให้เป็นนักประดิษฐ์ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ในสังคมนั้นมีเด็กอีกมากมายที่มีทักษะในการที่จะเป็นนักประดิษฐ์ได้ แต่ไม่ได้เป็นเนื่องจากฐานะทางครอบครัว นี่เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างมาก”
นักวิจัย ยังพบด้วยว่า สภาพแวดล้อมนั้นมีผลโดยตรงต่อการเลือกว่าเด็กจะเป็นนักพัฒนาในแวดวงไหน เช่น หากพวกเขาเติบโตในย่านซิลิคอนวัลเลย์ที่คนส่วนมากมักประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ให้กับวงการคอมพิวเตอร์ เด็กในย่านนี้ก็มีโอกาสสูงที่จะพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ในวงการคอมพิวเตอร์ แต่ถ้าบ้านของเด็กอยู่ในย่านมินเนโปลิส ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาเครื่องมือทางการแพทย์ เขาก็มีแนวโน้มจะสนใจพัฒนาเครื่องมือทางการแพทย์ด้วยเช่นกัน
แต่สิ่งที่นักวิจัยจากฮาร์วาร์ดและสแตนฟอร์ด เห็นตรงกันอีกข้อคือ การให้เด็กๆ ได้มีโอกาสพบที่ปรึกษา หรือได้เข้าอบรมฝึกงานในองค์กรด้านนวัตกรรม เพราะจะสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขาอยากเป็นนักประดิษฐ์ได้เช่นกัน พร้อมกับบอกว่า ในขณะที่รัฐบาลกำลังส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมด้วยนโยบายต่างๆ เช่น การลดภาษี การให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ กับบริษัท แต่งบประมาณที่ใช้สนับสนุนเหล่านั้นไม่ได้สอดคล้องกับแนวทางที่มีส่วนช่วยเพิ่ม “จำนวน” ของนักประดิษฐ์ให้เพียงพอต่อความต้องการเลย ดังนั้นอาจเป็นการดีกว่าหากจะมีการส่งเสริมให้เกิดการดูงาน และการให้นักประดิษฐ์ในปัจจุบันลงมาเป็นโค้ชให้กับเด็กๆ รุ่นใหม่ โดยกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการคือ ผู้หญิง และครอบครัวที่มีฐานะยากจนนั่นเอง ประเทศที่ต้องการเป็น 4.0 อย่างแท้จริง อาจต้องศึกษางานวิจัยชิ้นนี้โดยด่วน