บริษัทญี่ปุ่นมองหาฐานการผลิตใหม่เล็งเวียดนาม-ไทย หนีปัญหาสงครามการค้า


รายงานจากองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศญี่ปุ่น เผยมีจำนวนบริษัทญี่ปุ่นขยายธุรกิจไปยังภูมิเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น และลดกำลังการผลิตในจีนลง หลังความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน กลับมารุนแรงอีกครั้ง

จากการสำรวจของ JETRO ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รัฐบาลญี่ปุ่นให้การสนับสนุน เมื่อปีที่ผ่านมา พบว่ามีบริษัทญี่ปุ่น ร้อยละ 41 พิจารณาที่จะขยายธุรกิจไปยังเวียดนาม ภายในอีก 3 ปีข้างหน้า เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม รายงานล่าสุดที่ถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พบว่าผู้ตอบแบบสอบถาม ร้อยละ 36.3 ให้ความสนใจขยายธุรกิจมายังประเทศไทย เพิ่มขึ้น 1.5 จุด ขณะที่ ร้อยละ 48.1 จะส่งเสริมการทำธุรกิจในจีนลดลง 7.3 จุด

นอกจากนี้ ตามรายงานยังมีการวิเคราะห์กันว่า นับตั้งแต่ปี 2018 ที่เกิดการเผชิญหน้ากันรุนแรงระหว่างสหรัฐฯ-จีน จนนำมาสู่สงครามการค้า เป็นตัวผลักดันให้กับบริษัทญี่ปุ่นเริ่มมองหาการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยช่องว่างการลงทุนในอาเซียน และจีนจะขยายตัว 20.4 พันล้านเยน (191 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ในปี 2019 เพิ่มขึ้นจาก 10.2 พันล้านเยน จากปี 2017

เรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นการส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานของโลกใหม่ โดยผู้ผลิตเหล็กและชิ้นส่วนโลหะในกรุงโตเกียว กล่าวว่าบริษัทได้ย้ายฐานการผลิตส่วนหนึ่งจากจีนมายังไทย และเปลี่ยนการส่งสินค้าของสหรัฐฯ จากจีน มายังไทยเช่นกัน สอดคล้องกับผู้ผลิตเหล็กและชิ้นส่วนโลหะในภูมิภาคชิโกคุก็มีแผนที่จะเปลี่ยนการส่งออกสินค้าไปยังเม็กซิโกจากจีนไปยังเวียดนาม

สำหรับผลสำรวจจัดทำในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ครอบคลุม 9,975 บริษัทญี่ปุ่น โดยมีบริษัทที่ทำธุรกิจอยู่ในต่างประเทศจำนวน 3,562 บริษัท คิดเป็นร้อยละ 35.7 ซึ่งในทวีปเอเชียมีบริษัทญี่ปุ่นดำเนินธุรกิจอยู่ในอินเดียคิดเป็นร้อยละ 91.4, มาเลเซีย ร้อยละ 89.4, ไทย ร้อยละ 88.4, ฟิลิปปินส์ ร้อยละ 85.3 และอินโดนีเซีย ร้อยละ 84.4

ทั้งนี้ ช่วง 5 เดือนแรกของปี 2020 การลงทุนของญี่ปุ่นในอินโดนีเซียลดลงร้อยละ 75 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา ขณะที่การลทุนโดยรวมในภูมิภาคอาเซียนก็ลดลงร้อยละ 35.5 เช่นกัน

ที่มา: kyodonews