หนึ่งนาทีของชีวิต ถ้ายังไม่สิ้นสุด อย่าหยุดความหวัง: เหมราช เกตุสำราญ
รายการ The stronger ฅนหัวใจแกร่ง ครั้งนี้ พาไปอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เพื่อพบกับ พลจ่าเอกเหมราช เกตุสำราญ อดีตราชการทหารเรือ ปัจจุบันเป็นประธานชมรมคนพิการเทศบาลเมืองสัตหีบ ซึ่งแม้อุบัติเหตุจะทำให้ร่างกายพิการจนชีวิตจะพลิกผัน แต่เขากลับสามารถลุกขึ้นสู้ พร้อมช่วยเหลือสังคม
คุณเหมราช เล่าย้อนไปถึงช่วงเริ่มรับราชการ ปี 2534 ช่วงเริ่มรับราชการได้เพียง 4 เดือน จึงได้ลาไปเยี่ยมครอบครัวที่จังหวัดสิงห์บุรี ระหว่างเดินทางอย่างเบียดเสียดบนรถทัวร์ เมื่อถึงหลักกิโลเมตรที่ 123-124 อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี รถที่นั่งโดยสารไปได้ขับเฉี่ยวมอเตอร์ไซค์จนหักกลับมาตกข้างทาง ด้วยขณะนั้นถนนเอเชียที่กำลังสร้างใหม่ ริมทางจึงสูงมาก ทำให้อุบัติเหตุครั้งนั้นมีคนตาย และบาดเจ็บสาหัส ซึ่งตัวคุณเหมราชเอง ก็หลับยาวถึง 12 วัน และรักษาตัวในโรงพยาบาลต่ออีก 2 ปี จนภรรยาคลอดลูก และลูกวิ่งได้
ระหว่างอยู่ในโรงพยาบาล ช่วงแรกไม่กังวล แต่พออยู่ไปเรื่อยๆกลับพบว่าทำไมเดินไม่ได้ และขยับตัวไม่ได้ จนถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย แต่มานึกถึงอีกที ก็มองว่าลูกเราพึ่งเกิดแล้วใครจะดูแล จึงเกิดกำลังใจที่จะต่อสู้ต่อไปได้ นอกจากนั้น กำลังใจยังมาจากครอบครัว โดยเฉพาะพ่อแม่ที่พยายามหาแพทย์แผนไทย หรือว่าแพทย์ทางเลือกมารักษา ส่วนภรรยาก็ดี มีอะไรก็ตามใจ เพราะคนพิการใหม่ๆ จะอารมณ์เสีย หงุดหงิด โมโหง่าย ขัดใจไม่ได้เลย แต่พอข้ามจุดนี้มาได้ ก็สบายมาก
ส่วนหน้าที่การงาน เนื่องจากงานกองทัพเป็นงานที่ต้องใช้พละกำลัง สมรรถภาพร่างกายที่สมบูรณ์เป็นสิ่งสำคัญ จึงลาออกเพื่อเปิดโอกาสให้คนที่สมบูรณ์กว่าเข้ามารับราชการแทน แล้วหันไปทำอาชีพอิสระ เพราะมองว่ามีความรู้ ก็ต้องไปต่อได้
ปัจจุบันทำอาชีพขายสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ จนกลายเป็นอาชีพหลักที่สามารถสร้างรายได้ให้กับครอบครัว และยังได้ความอนุเคราะห์ที่ทางทำกินจากโรงพยาบาล จึงไม่ต้องเสียค่าแผง ส่วนรายได้ การขายลอตเตอรี่หนึ่งใบจะได้กำไรประมาณ 9 บาท ครึ่งเดือนขายได้ 500 ใบ จะได้ 4,500 บาท และหนึ่งเดือนจะได้ 9,000 บาท แต่เมื่อหักค่ารถ ค่าน้ำมัน ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ก็จะเหลือวันละ 200 บาท ซึ่งพออยู่ได้ แต่บางครั้งอาจมีค่าใช้จ่ายส่วนอื่นเพิ่มเข้ามา จึงอยากให้กองสำนักงานสลากกินแบ่ง เพิ่มปริมาณสลากให้ผู้พิการอีกคนละ 10 เล่ม เพราะอย่างน้อยในแต่ละเดือนก็จะมีรายได้ราว 18,000 บาท ทำให้ผู้พิการและครอบครัวอยู่ได้สบายยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมเพื่อช่วยส่งเสริมสร้างอาชีพให้กับคนพิการในชมรมคนพิการเทศบาลเมืองสัตหีบ เช่น การส่งเสริมทำพวงหรีดและดอกไม้จันทน์ เพราะเราอยู่ใกล้ความเจ็บป่วย ความตาย ซึ่งเงินสนับสนุนของชมรมเรา ไม่ได้มาจากองค์กรต่างๆ ทำให้เราก็ดิ้นรนหามาเอง จึงได้ไปขอโครงการงบประมาณจากเทศบาลเมืองสัตหีบ เพื่อมาตั้งกลุ่มอาชีพ และปันผล อีกอาชีพคือการเพาะเห็ดโอ่ง โดยเราขอโอ่งมาได้ 30 ใบ แต่ละใบก็เอาเห็ดใส่ประมาณ 20-30 ก้อน
ปัจจุบัน พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามมาตรา 35 กำหนดให้บริษัท ห้างร้านที่มีพนักงาน 100 คนจะต้องจ้างผู้พิการ 1 คนเข้าทำงาน แต่ถ้าบริษัท หรือหน่วยงานนั้นๆไม่ยอมจ้างจะต้องนำเงินส่วนนี้ ส่งกลับเข้ากระทรวง บริษัทต่างชาติที่มาตั้งในชลบุรี เขาจะทราบเรื่องกฎหมายเหล่านี้อยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องง่ายเมื่อเข้าไปคุยกับเขา
ส่วนเรื่องอาชีพเกษตร การทำร้านค้าปลีก ก็ต้องมาแยก ว่าใครได้กฎหมายตัวไหน แล้วเราก็จะเข้าไปช่วยจัดการเอกสารให้ ใครมีปัญหาอะไร ก็จะเข้าไปช่วยเคลียร์ให้ เนื่องจากคนพิการเราลำบากอยู่แล้ว ในแต่ละวัน ก็จะไปเยี่ยมคนพิการ เพื่อรับทราบความต้องการของพวกเขา อย่างในปีนี้สมาชิกท่านใดจะเขียนโครงการพัฒนาศักยภาพ และส่งเสริมอาชีพ ก็มาขอต้นแบบการเขียนโครงการ หรือแบบฟอร์มได้ที่ชมรม
สุดท้ายอยากฝากข้อคิดไว้ว่า หนึ่งนาทีของชีวิตถ้าไม่สิ้นสุด อย่าหยุดความหวัง เพราะนั่นหมายถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิตเรามันยังไม่หมดเวลา ระฆังยังไม่เคาะ ก็อย่าท้อแท้ ถดถอย และอย่ามองคนพิการโดยเวทนา ให้โอกาสคนพิการสักนิด ขอบคุณครับ