ผมคิดว่า ถ้าหากผมอยู่แบบนี้ เมื่อพ่อแม่ของผมไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว ผมจะหาเลี้ยงตัวเองได้หรือ เมื่อตอนผมอายุ 16-17 ผมจึงตัดสินใจออกจากบ้าน แล้วร่อนเร่ไปเรื่อยๆ: บุญ นาหอม
รายการ The Stronger ฅนหัวใจแกร่ง ครั้งนี้ พาไปที่จังหวัดชลบุรีเพื่อไปพบกับคุณโต๊ด บุญ นาหอม อาสาสมัครมูลนิธิไตรคุณธรรม ที่ร่างกายพิการแต่กำเนิด จึงทำให้เขาไม่ได้เรียนหนังสือเหมือนพี่น้องคนอื่นๆ มาวันหนึ่งเขาไม่อยากเป็นภาระให้ครอบครัว จึงตัดสินใจออกจากบ้าน เพื่อหาเลี้ยงชีพด้วยวิธีต่างๆ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ชายคนนี้มีจิตใจที่งดงามและเสียสละ เพราะเขาสมัครเป็นอาสาสมัครมูลนิธิกู้ภัยไตรคุณธรรม พร้อมทำหน้าที่ด้วยความเต็มใจ และไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดตอบแทน
คุณโต๊ดเล่าว่า ตนเองพิการมาตั้งแต่กำเนิด ตอนเด็กอยู่แต่ในไร่ บ้านอยู่ห่างจากโรงเรียน 3 กิโล และถนนหนทางเล็กและแคบมาก ที่บ้านมีแต่เกวียนและควาย จักรยานยังไม่มี จึงทำให้ตนไม่ได้ไปเรียนแบบคนอื่นๆ แต่ที่สามารถอ่านออกเขียนได้ ก็เพราะเพื่อนข้างบ้านไปเรียนแล้วกลับมาสอน ซึ่งช่วงเด็กก็จะได้รับกำลังใจจากครอบครัวมาตลอด
ช่วงวัยรุ่นอายุ 16-17 ปี ตนเองตัดสินใจออกจากบ้าน เพราะคิดว่าถ้าอยู่แบบนี้ เกิดวันใดวันหนึ่ง พ่อแม่ของผมไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว จะหาเลี้ยงตัวเองได้หรือ บางทีญาติพี่น้องเลี้ยงได้ ก็เลี้ยงได้แต่ข้าว แต่เงินทองเขาก็ไม่ได้ให้ทุกวัน เพราะว่าเขาต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียของเขา จึงตัดสินใจออกจากบ้านเพื่ออยู่ไปต่างจังหวัดกับเพื่อนๆแล้วร่อนเร่ไปเรื่อยจนมาถึงกรุงเทพฯ
ขณะอยู่กรุงเทพฯ คุณโต๊ดตัดสินใจไปเป็นขอทานประมาณเกือบ 2 ปี แต่ก็รู้สึกว่าเราได้เงินของเขามาเฉยๆ ไม่มีอะไรตอบแทนเขาเลย จึงตัดสินใจไปสมัครร้องเพลง ช่วงที่ร้องเพลง ร้องได้กว่า 20 ปี จากนั้นก็เลิกร้องเพลง และมาทำงานรณรงค์เมาไม่ขับกับธนาคารไทยพาณิชย์ ทำให้มีรายได้เดือนละกว่า 9,000 บาท จึงมีเงินไปลงทุนซื้อมาขายสลากกินแบ่งมาขาย ตั้งแต่ออกจากบ้านมา ทางบ้านจะบอกเสมอว่ามีอะไรให้ช่วยเหลือก็ให้บอกเขา จนถึงทุกวันนี้ เขาอยากให้ผมกลับบ้าน แต่ถ้ากลับไปก็ไม่รู้จะทำอาชีพอะไร เพราะด้วยร่างกายก็ไม่สามารถทำไร่ทำนาได้ แต่ถ้าคิดถึงเวลาว่างก็จะขับรถกลับไปเยี่ยมเยือน
ปัจจุบันนอกจากจะขายสลากกินแบ่งรัฐบาลและเป็นพนักงานของธนาคารไทยพาณิชย์แล้ว คุณโต๊ดยังเป็นอาสากู้ภัยไตรคุณธรรม โดยกิจวัตรประจำวันเมื่อตื่นมาก็แต่งตัวไปรณรงค์เมาไม่ขับ ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ และตอนเย็นก็จะมาขายสลากกินแบ่งต่อ แล้วหลังจากนั้นก็จะออกไปเป็นอาสากู้ภัยเพื่อช่วยเหลือสังคม
จุดเริ่มต้นการเป็นอาสาสมัครกู้ภัย เกิดจากการเห็นคนประสบอุบัติเหตุบ่อยครั้ง เลยคิดอยู่ในใจตัวเองว่า หากเราเจออุบัติเหตุบ่อยๆแบบนี้ ก็มาสมัครเป็นอาสาดีกว่า จะได้ใช้วิทยุคอยแจ้งให้คนมาช่วยเหลือเขาทันท่วงที หลังจากเข้ามาทำงาน คุณโต๊ดจะทำหน้าที่คอยเตือนถึงเหตุการณ์ต่างๆ เช่น คอยโบกรถ ไม่ให้รถไปอุบัติเหตุทับซ้อน หรือพูดผ่านไมค์เพื่อแจ้งรถที่สัญจรไปมาให้เบี่ยหรือเลี่ยงจุดที่มีอุบัติเหตุ ทุกวันนี้แม้ค่าใช้จ่ายในการเป็นอาสา คุณโต๊ดจะออกเองทุกอย่าง เช่น รถก็เอาของส่วนตัวมาใช้ น้ำมันก็ออกเอง อุปกรณ์ ไซเรนหรือเครื่องโมบายก็ซื้อเอง แต่คุณโต๊ดก็ภูมิใจ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือคน และปลื้มใจเมื่อได้รับคำขอบคุณกลับมา
ช่วงแรกที่เข้ามาเป็นอาสาสมัครกู้ภัย ก็มีหลายคำถามว่าจะทำได้รึปล่าว เพราะสภาพร่างกายไม่ได้เหมือนกับคนปกติทั่วไป แต่หลังจากเข้ามาทำจริงๆ ก็สามารถพิสูจน์ตัวเองว่าทำได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาปรับตัวจากสภาพแวดล้อมนานกว่าคนปกติ จนปัจจุบันได้เข้าวงการกู้ภัยมาก็ 5 ปีแล้ว
ส่วนใครที่สงสัยว่าคุณโต๊ดขับรถยังไง ก็ต้องบอกว่าเขาอุปกรณ์เสริมและการปรับแต่งรถ ซึ่งคุณโต๊ดคิดและออกแบบเองทั้งหมด เพื่อให้เกิดความสมดุลกับสภาพร่างกาย เช่น เบรกและคันเร่ง ที่ไม่ได้อ็อกติดกับตัวรถ แต่จะทำให้ยกได้ โดยออกแบบเป็นบล็อกเสียบ ที่คนธรรมดาก็สามารถขับได้
สำหรับสิ่งที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อคนพิการมากที่สุดคือ อยากให้คนพิการทุกคนมีรายได้มากขึ้น เพราะปัจจุบันนี้คนพิการไม่ค่อยจะมีรายได้เพื่อเลี้ยงชีพได้อย่างเต็มที่ซักเท่าไหร่ ถ้าหากภาครัฐหางานให้ผู้พิการแต่ในภาคเอกชนไม่รับ คนพิการก็ไม่มีงานทำอยู่ดี
สุดท้ายคุณโต๊ดฝากข้อคิดว่า ใครที่กำลังท้อแท้ จงมองคนที่ด้อยกว่าเรา คนที่ด้อยกว่าเรานั้น เขาลำบากกว่าเรานัก เรายังดีกว่าเขา อย่าไปท้อเลยนะครับ จงสู้ๆต่อไปเถอะครับ