ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
ผมยังอยู่ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อทำการเก็บข้อมูลอุตสาหกรรมเสื้อผ้า ผมมีนัดกับบริษัท MSB Apparel และบริษัท TK Garment โดยวันนี้มีนัดกับคุณสมหมาย คุ้มสว่าง กรรมการผู้จัดการบริษัท MSB Apparel และยังมีนัดกับคุณธนากร จตุรเจริญคุณ ลูกชายคุณทวีกิจเจ้าของบริษัท TK Garment ทั้งสองบริษัทเป็นของคนไทยทั้งหมด ผมต้องขอขอบคุณท่านทั้งสองและผู้บริหารของบริษัททั้งสองด้วยที่อนุญาตให้ผมเข้าไปพูดคุยเก็บข้อมูลด้วย
การพูดคุยกับคุณสมหมายและคุณธนากร ทำให้ผมเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมเสื้อผ้าในแม่สอดเมื่อเทียบกับช่วง 10 ปีที่ผ่านมามากที่เดียว การเข้ามาของอุตสาหกรรมเสื้อผ้าในแม่สอดเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมาของผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติ เพราะเล็งเห็นว่าแม่สอดมีความพร้อมด้านแรงงานจากเมียนมาร์ และที่สำคัญคือค่าจ้างที่ถูกมากๆ สมัยนั้นน่าจะอยู่ที่ร้อยกว่าบาทต้น
ผมมีข้อมูลตัวเลขเกี่ยวกับโรงงานอุตสาหกรรมของแม่สอดเปรียบเทียบระหว่างปี 2005 กับ ปี 2014 ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เห็นการเปลี่ยนแปลงและเห็นภาพในอนาคตว่าอุตสาหกรรมเสื้อผ้าในแม่สอดเป็นอย่างไร ในปี 2005 มีจำนวนโรงงานเสื้อผ้าทั้งจังหวัดตากอยู่ประมาณ 464 โรงงาน และส่วนใหญ่ร้อยละ 50 ตั้งอยู่ในอำเภอแม่สอด แต่ปัจจุบันจำนวนโรงงานเหลือเพียง 100 โรงงาน ซึ่งที่เหลืออยู่นี้ทั้งหมดตั้งในแม่สอดทั้งสิ้น นั้นแสดงว่าโรงงานผลิตเสื้อผ้าหายไปมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ “ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น” เหตุผลง่ายๆ และน่าจะเป็นปัจจัยหลักคือค่าจ้างต่อวันที่ทยอยปรับสูงขึ้นตลอดช่วงสิบปีที่ผ่านมา สำหรับแรงงานที่จ้างก่อนหน้านี้จ้างจำนวนเกือบสามหมื่นคน แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 20,000 คนเท่านั้น แม้ว่าแรงงานส่วนใหญ่ที่จ้างจะเป็นแรงงานชาวเมียนมาร์ก็ตาม แต่มันสะท้อนให้เห็นว่า “ธุรกิจเสื้อผ้าถดถอยลง” ความเป็นเจ้าของโรงงาน เมื่อสิบปีที่แล้ว คนไทยเป็นเจ้าของโรงงานเสื้อผ้าร้อยละ 70 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือเป็นของนักธุรกิจฮ่องกง และญี่ปุ่น แต่ปัจจุบัน โรงงานที่เหลือ 100 เปอร์เซ็นต์เป็นของคนไทยทั้งหมด
ตรงนี้บ่งบอกถึงอะไรครับ บอกว่านักธุรกิจต่างชาติเค้ามีตัวเลือกในการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น (ทั้งความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตที่ถูก ค่าจ้างที่ถูก สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน และที่สำคัญได้สิทธิ GSP) และเค้าหันไปลงทุนในเมียนมาร์ หรือประเทศใน CLMV อื่นๆ แทนเข้ามาลงทุนในไทย ในอดีตจำนวนแรงงานโดยเฉลี่ยมีการจ้างอยู่ที่ 400 คนต่อโรงงาน แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 200 คนต่อโรงงาน และเมื่อเทียบทั้งสองช่วงเวลา คนงานร้อยละ 90 เปอร์เซ็นต์เป็นแรงงานเมียนมาร์ โครงสร้างของแรงงานทั้งสองช่วงเวลาไม่เปลี่ยนแปลง สะท้อนให้เห็นชัดว่า อุตสาหกรรมเสื้อผ้าในแม่สอดจำเป็นต้องพึ่งแรงงานเมียนมาร์ตลอดไป
เมื่อก่อนแรงงานเมียนมาร์มีอายุอยู่ในช่วง 18-36 ปี แต่ปัจจุบันแรงงานมีอายุต่ำกว่า 30 ปี แสดงให้เห็นว่าแรงงานหนุ่มสาวเมียนมาร์เข้าสู่ตลาดแรงงานมากและเร็วขึ้น และเมื่อปี 2005 แรงงานเมียนมาร์มาจากสามพี้นที่คือจากเมียวดีร้อยละ 37 จากผาอันร้อยละ 32 และจากเมาะละเหม่งร้อยละ 18 แต่ปัจจุบันแรงงานได้เลยไปจากพื้นที่อื่นๆ ด้วย เช่นมาจากพะโค หรือหงสาวดี ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะแรงงานในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงได้เข้ามาขายแรงงานในแม่สอดเต็มหมดแล้ว จึงจำเป็นต้องไปหาแรงงานที่ไกลออกไปจากเมียวดี
ผมลืมพูดเรื่องค่าแรงงาน เมื่อสิบปีที่ผ่านมาจ้างอยู่ที่ หนึ่งร้อยกว่าบาทต่อวัน แต่ปัจจุบันจ้างกันที่ 320 บาทต่อวัน (กรณีบริษัท MSB มีการจัดการแรงงานโดยตัวแทนบริษัทจัดหางาน ที่เข้ามารับเหมาในการจัดหาและคิดค่าจ้างไปครั้งเดียว) ซึ่งรวมถึงสวัสดิการต่างๆ แล้ว แต่ในกรณีของบริษัท TK นั้น ค่าจ้าง 300 บาท แต่สวัสดิการอื่นๆ เช่น ที่พัก ข้าว 3 มื้อ ค่าน้ำ บริษัท TK จะเป็นผู้จัดหาให้
มีสิ่งที่น่าคิดหลังจากนี้เป็นต้นไปคือ เมื่อเมืองเมียวดีมีเขตอุตสาหกรรมเมียวดี (Myawaddy Industrial Zone) เกิดขึ้นในอนาคตแล้ว (จริงๆ แล้วขณะนี้ เขตอุตสาหกรรมเมียวดีใกล้เสร็จสมบูรณ์ คาดว่าปลายปี 2557 น่าจะสมบูรณ์) เขตอุตสาหกรรมนี้ฯ ห่างจากตัวเมืองเมียวดีเพียง 11 กิโลเมตร หากเขตอุตสาหกรรมนี้เกิดแล้ว โรงงานเสื้อผ้าที่ตั้งอยู่ในแม่สอดเหล่านี้จะปิดตัวเองลงหรือไม่? แล้วหันไปตั้งโรงงานที่เขตอุตสาหกรรมเมียวดีหรือไม่? ทั้งนี้เพราะค่าจ้างในฝั่งเมียนมาร์ย่อมถูกกว่าฝั่งไทยมากโขอยู่และแรงงานก็มีเพียงพอ
คำตอบคือ “โอกาสมีห้าสิบเปอร์เซ็นต์ หรืออาจจะเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์” ครับ ขึ้นอยู่กับว่าค่าจ้างต่อวันในเมียวดีเป็นตัวกำหนด โดยค่าจ้างต่อวันที่เขตอุตสาหกรรมเมียวดีจ่ายกันอยู่นั้น สูงเพียงพอหรือใกล้เคียง 300 ต่อวันหรือไม่ ถ้าในเขตอุตสาหกรรมเมียวดี ซึ่งขณะนี้ค่าจ้างต่อวันในพื้นที่จ่ายกันอยู่ที่ไม่เกิน 100 บาทต่อวัน หากเราดูอย่างนี้ โรงงานเสื้อผ้าน่าจะย้ายเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมเมียวดีเพราะค่าจ้างถูกกว่า
การวิเคราะห์อย่างนี้ อาจจะผิดเพราะค่าจ้างที่ถูกแรงงานเมียนมาร์ไม่รับที่ค่าจ้างถูก แม้ว่าโรงงงานไปก็ตาม แต่ความเสี่ยงที่ต้องประสบทันที่คือการขาดแคลนแรงงานในพื้นที่ เพราะแรงงานเหล่านี้จะหันมารับจ้างในแม่สอดที่มีค่าจ้าง 300 บาทต่อวัน รวมสวัสดิการอาจจะมากกว่า 300 บาท หากเป็นอย่างนี้เขตอุตสาหกรรมเมียวดีจะไม่มีนักลงทุนไปลงทุนหรือ
จะว่าไปแล้ว ผมคิดว่าน่าจะเป็นโอกาสของนักธุรกิจทางชาติมากกว่านักธุรกิจไทย และเขตอุตสาหกรรมเมียวดีจะประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อการบริหารต้นทุนและค่าจ้างที่เหมาะสมจึงจะสามารถดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้าไปได้ ผมคิดว่าค่าจ้างต่อวันในเขตอุตสาหกรรมเมียวดีไม่ควรเกิน 150 บาทต่อวัน จึงพอที่จะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้ หากเขตอุตสาหกรรมสามารถหาจุดเหมาะสมเรื่องค่าแรงงานที่ไม่สูงเท่ากับแม่สอดและต่ำกว่าแม่สอด ผมคิดว่า อุตสาหกรรมไทยก็อาจจะไปลงทุนเช่นกัน
ผมยังอยู่ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อทำการเก็บข้อมูลอุตสาหกรรมเสื้อผ้า ผมมีนัดกับบริษัท MSB Apparel และบริษัท TK Garment โดยวันนี้มีนัดกับคุณสมหมาย คุ้มสว่าง กรรมการผู้จัดการบริษัท MSB Apparel และยังมีนัดกับคุณธนากร จตุรเจริญคุณ ลูกชายคุณทวีกิจเจ้าของบริษัท TK Garment ทั้งสองบริษัทเป็นของคนไทยทั้งหมด ผมต้องขอขอบคุณท่านทั้งสองและผู้บริหารของบริษัททั้งสองด้วยที่อนุญาตให้ผมเข้าไปพูดคุยเก็บข้อมูลด้วย
การพูดคุยกับคุณสมหมายและคุณธนากร ทำให้ผมเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมเสื้อผ้าในแม่สอดเมื่อเทียบกับช่วง 10 ปีที่ผ่านมามากที่เดียว การเข้ามาของอุตสาหกรรมเสื้อผ้าในแม่สอดเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมาของผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติ เพราะเล็งเห็นว่าแม่สอดมีความพร้อมด้านแรงงานจากเมียนมาร์ และที่สำคัญคือค่าจ้างที่ถูกมากๆ สมัยนั้นน่าจะอยู่ที่ร้อยกว่าบาทต้น
ผมมีข้อมูลตัวเลขเกี่ยวกับโรงงานอุตสาหกรรมของแม่สอดเปรียบเทียบระหว่างปี 2005 กับ ปี 2014 ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เห็นการเปลี่ยนแปลงและเห็นภาพในอนาคตว่าอุตสาหกรรมเสื้อผ้าในแม่สอดเป็นอย่างไร ในปี 2005 มีจำนวนโรงงานเสื้อผ้าทั้งจังหวัดตากอยู่ประมาณ 464 โรงงาน และส่วนใหญ่ร้อยละ 50 ตั้งอยู่ในอำเภอแม่สอด แต่ปัจจุบันจำนวนโรงงานเหลือเพียง 100 โรงงาน ซึ่งที่เหลืออยู่นี้ทั้งหมดตั้งในแม่สอดทั้งสิ้น นั้นแสดงว่าโรงงานผลิตเสื้อผ้าหายไปมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ “ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น” เหตุผลง่ายๆ และน่าจะเป็นปัจจัยหลักคือค่าจ้างต่อวันที่ทยอยปรับสูงขึ้นตลอดช่วงสิบปีที่ผ่านมา สำหรับแรงงานที่จ้างก่อนหน้านี้จ้างจำนวนเกือบสามหมื่นคน แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 20,000 คนเท่านั้น แม้ว่าแรงงานส่วนใหญ่ที่จ้างจะเป็นแรงงานชาวเมียนมาร์ก็ตาม แต่มันสะท้อนให้เห็นว่า “ธุรกิจเสื้อผ้าถดถอยลง” ความเป็นเจ้าของโรงงาน เมื่อสิบปีที่แล้ว คนไทยเป็นเจ้าของโรงงานเสื้อผ้าร้อยละ 70 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือเป็นของนักธุรกิจฮ่องกง และญี่ปุ่น แต่ปัจจุบัน โรงงานที่เหลือ 100 เปอร์เซ็นต์เป็นของคนไทยทั้งหมด
ตรงนี้บ่งบอกถึงอะไรครับ บอกว่านักธุรกิจต่างชาติเค้ามีตัวเลือกในการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น (ทั้งความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตที่ถูก ค่าจ้างที่ถูก สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน และที่สำคัญได้สิทธิ GSP) และเค้าหันไปลงทุนในเมียนมาร์ หรือประเทศใน CLMV อื่นๆ แทนเข้ามาลงทุนในไทย ในอดีตจำนวนแรงงานโดยเฉลี่ยมีการจ้างอยู่ที่ 400 คนต่อโรงงาน แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 200 คนต่อโรงงาน และเมื่อเทียบทั้งสองช่วงเวลา คนงานร้อยละ 90 เปอร์เซ็นต์เป็นแรงงานเมียนมาร์ โครงสร้างของแรงงานทั้งสองช่วงเวลาไม่เปลี่ยนแปลง สะท้อนให้เห็นชัดว่า อุตสาหกรรมเสื้อผ้าในแม่สอดจำเป็นต้องพึ่งแรงงานเมียนมาร์ตลอดไป
เมื่อก่อนแรงงานเมียนมาร์มีอายุอยู่ในช่วง 18-36 ปี แต่ปัจจุบันแรงงานมีอายุต่ำกว่า 30 ปี แสดงให้เห็นว่าแรงงานหนุ่มสาวเมียนมาร์เข้าสู่ตลาดแรงงานมากและเร็วขึ้น และเมื่อปี 2005 แรงงานเมียนมาร์มาจากสามพี้นที่คือจากเมียวดีร้อยละ 37 จากผาอันร้อยละ 32 และจากเมาะละเหม่งร้อยละ 18 แต่ปัจจุบันแรงงานได้เลยไปจากพื้นที่อื่นๆ ด้วย เช่นมาจากพะโค หรือหงสาวดี ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะแรงงานในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงได้เข้ามาขายแรงงานในแม่สอดเต็มหมดแล้ว จึงจำเป็นต้องไปหาแรงงานที่ไกลออกไปจากเมียวดี
ผมลืมพูดเรื่องค่าแรงงาน เมื่อสิบปีที่ผ่านมาจ้างอยู่ที่ หนึ่งร้อยกว่าบาทต่อวัน แต่ปัจจุบันจ้างกันที่ 320 บาทต่อวัน (กรณีบริษัท MSB มีการจัดการแรงงานโดยตัวแทนบริษัทจัดหางาน ที่เข้ามารับเหมาในการจัดหาและคิดค่าจ้างไปครั้งเดียว) ซึ่งรวมถึงสวัสดิการต่างๆ แล้ว แต่ในกรณีของบริษัท TK นั้น ค่าจ้าง 300 บาท แต่สวัสดิการอื่นๆ เช่น ที่พัก ข้าว 3 มื้อ ค่าน้ำ บริษัท TK จะเป็นผู้จัดหาให้
มีสิ่งที่น่าคิดหลังจากนี้เป็นต้นไปคือ เมื่อเมืองเมียวดีมีเขตอุตสาหกรรมเมียวดี (Myawaddy Industrial Zone) เกิดขึ้นในอนาคตแล้ว (จริงๆ แล้วขณะนี้ เขตอุตสาหกรรมเมียวดีใกล้เสร็จสมบูรณ์ คาดว่าปลายปี 2557 น่าจะสมบูรณ์) เขตอุตสาหกรรมนี้ฯ ห่างจากตัวเมืองเมียวดีเพียง 11 กิโลเมตร หากเขตอุตสาหกรรมนี้เกิดแล้ว โรงงานเสื้อผ้าที่ตั้งอยู่ในแม่สอดเหล่านี้จะปิดตัวเองลงหรือไม่? แล้วหันไปตั้งโรงงานที่เขตอุตสาหกรรมเมียวดีหรือไม่? ทั้งนี้เพราะค่าจ้างในฝั่งเมียนมาร์ย่อมถูกกว่าฝั่งไทยมากโขอยู่และแรงงานก็มีเพียงพอ
คำตอบคือ “โอกาสมีห้าสิบเปอร์เซ็นต์ หรืออาจจะเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์” ครับ ขึ้นอยู่กับว่าค่าจ้างต่อวันในเมียวดีเป็นตัวกำหนด โดยค่าจ้างต่อวันที่เขตอุตสาหกรรมเมียวดีจ่ายกันอยู่นั้น สูงเพียงพอหรือใกล้เคียง 300 ต่อวันหรือไม่ ถ้าในเขตอุตสาหกรรมเมียวดี ซึ่งขณะนี้ค่าจ้างต่อวันในพื้นที่จ่ายกันอยู่ที่ไม่เกิน 100 บาทต่อวัน หากเราดูอย่างนี้ โรงงานเสื้อผ้าน่าจะย้ายเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมเมียวดีเพราะค่าจ้างถูกกว่า
การวิเคราะห์อย่างนี้ อาจจะผิดเพราะค่าจ้างที่ถูกแรงงานเมียนมาร์ไม่รับที่ค่าจ้างถูก แม้ว่าโรงงงานไปก็ตาม แต่ความเสี่ยงที่ต้องประสบทันที่คือการขาดแคลนแรงงานในพื้นที่ เพราะแรงงานเหล่านี้จะหันมารับจ้างในแม่สอดที่มีค่าจ้าง 300 บาทต่อวัน รวมสวัสดิการอาจจะมากกว่า 300 บาท หากเป็นอย่างนี้เขตอุตสาหกรรมเมียวดีจะไม่มีนักลงทุนไปลงทุนหรือ
จะว่าไปแล้ว ผมคิดว่าน่าจะเป็นโอกาสของนักธุรกิจทางชาติมากกว่านักธุรกิจไทย และเขตอุตสาหกรรมเมียวดีจะประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อการบริหารต้นทุนและค่าจ้างที่เหมาะสมจึงจะสามารถดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้าไปได้ ผมคิดว่าค่าจ้างต่อวันในเขตอุตสาหกรรมเมียวดีไม่ควรเกิน 150 บาทต่อวัน จึงพอที่จะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้ หากเขตอุตสาหกรรมสามารถหาจุดเหมาะสมเรื่องค่าแรงงานที่ไม่สูงเท่ากับแม่สอดและต่ำกว่าแม่สอด ผมคิดว่า อุตสาหกรรมไทยก็อาจจะไปลงทุนเช่นกัน
ผมยังอยู่ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อทำการเก็บข้อมูลอุตสาหกรรมเสื้อผ้า ผมมีนัดกับบริษัท MSB Apparel และบริษัท TK Garment โดยวันนี้มีนัดกับคุณสมหมาย คุ้มสว่าง กรรมการผู้จัดการบริษัท MSB Apparel และยังมีนัดกับคุณธนากร จตุรเจริญคุณ ลูกชายคุณทวีกิจเจ้าของบริษัท TK Garment ทั้งสองบริษัทเป็นของคนไทยทั้งหมด ผมต้องขอขอบคุณท่านทั้งสองและผู้บริหารของบริษัททั้งสองด้วยที่อนุญาตให้ผมเข้าไปพูดคุยเก็บข้อมูลด้วย
การพูดคุยกับคุณสมหมายและคุณธนากร ทำให้ผมเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมเสื้อผ้าในแม่สอดเมื่อเทียบกับช่วง 10 ปีที่ผ่านมามากที่เดียว การเข้ามาของอุตสาหกรรมเสื้อผ้าในแม่สอดเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมาของผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติ เพราะเล็งเห็นว่าแม่สอดมีความพร้อมด้านแรงงานจากเมียนมาร์ และที่สำคัญคือค่าจ้างที่ถูกมากๆ สมัยนั้นน่าจะอยู่ที่ร้อยกว่าบาทต้น
ผมมีข้อมูลตัวเลขเกี่ยวกับโรงงานอุตสาหกรรมของแม่สอดเปรียบเทียบระหว่างปี 2005 กับ ปี 2014 ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เห็นการเปลี่ยนแปลงและเห็นภาพในอนาคตว่าอุตสาหกรรมเสื้อผ้าในแม่สอดเป็นอย่างไร ในปี 2005 มีจำนวนโรงงานเสื้อผ้าทั้งจังหวัดตากอยู่ประมาณ 464 โรงงาน และส่วนใหญ่ร้อยละ 50 ตั้งอยู่ในอำเภอแม่สอด แต่ปัจจุบันจำนวนโรงงานเหลือเพียง 100 โรงงาน ซึ่งที่เหลืออยู่นี้ทั้งหมดตั้งในแม่สอดทั้งสิ้น นั้นแสดงว่าโรงงานผลิตเสื้อผ้าหายไปมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ “ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น” เหตุผลง่ายๆ และน่าจะเป็นปัจจัยหลักคือค่าจ้างต่อวันที่ทยอยปรับสูงขึ้นตลอดช่วงสิบปีที่ผ่านมา สำหรับแรงงานที่จ้างก่อนหน้านี้จ้างจำนวนเกือบสามหมื่นคน แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 20,000 คนเท่านั้น แม้ว่าแรงงานส่วนใหญ่ที่จ้างจะเป็นแรงงานชาวเมียนมาร์ก็ตาม แต่มันสะท้อนให้เห็นว่า “ธุรกิจเสื้อผ้าถดถอยลง” ความเป็นเจ้าของโรงงาน เมื่อสิบปีที่แล้ว คนไทยเป็นเจ้าของโรงงานเสื้อผ้าร้อยละ 70 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือเป็นของนักธุรกิจฮ่องกง และญี่ปุ่น แต่ปัจจุบัน โรงงานที่เหลือ 100 เปอร์เซ็นต์เป็นของคนไทยทั้งหมด
ตรงนี้บ่งบอกถึงอะไรครับ บอกว่านักธุรกิจต่างชาติเค้ามีตัวเลือกในการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น (ทั้งความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตที่ถูก ค่าจ้างที่ถูก สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน และที่สำคัญได้สิทธิ GSP) และเค้าหันไปลงทุนในเมียนมาร์ หรือประเทศใน CLMV อื่นๆ แทนเข้ามาลงทุนในไทย ในอดีตจำนวนแรงงานโดยเฉลี่ยมีการจ้างอยู่ที่ 400 คนต่อโรงงาน แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 200 คนต่อโรงงาน และเมื่อเทียบทั้งสองช่วงเวลา คนงานร้อยละ 90 เปอร์เซ็นต์เป็นแรงงานเมียนมาร์ โครงสร้างของแรงงานทั้งสองช่วงเวลาไม่เปลี่ยนแปลง สะท้อนให้เห็นชัดว่า อุตสาหกรรมเสื้อผ้าในแม่สอดจำเป็นต้องพึ่งแรงงานเมียนมาร์ตลอดไป
เมื่อก่อนแรงงานเมียนมาร์มีอายุอยู่ในช่วง 18-36 ปี แต่ปัจจุบันแรงงานมีอายุต่ำกว่า 30 ปี แสดงให้เห็นว่าแรงงานหนุ่มสาวเมียนมาร์เข้าสู่ตลาดแรงงานมากและเร็วขึ้น และเมื่อปี 2005 แรงงานเมียนมาร์มาจากสามพี้นที่คือจากเมียวดีร้อยละ 37 จากผาอันร้อยละ 32 และจากเมาะละเหม่งร้อยละ 18 แต่ปัจจุบันแรงงานได้เลยไปจากพื้นที่อื่นๆ ด้วย เช่นมาจากพะโค หรือหงสาวดี ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะแรงงานในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงได้เข้ามาขายแรงงานในแม่สอดเต็มหมดแล้ว จึงจำเป็นต้องไปหาแรงงานที่ไกลออกไปจากเมียวดี
ผมลืมพูดเรื่องค่าแรงงาน เมื่อสิบปีที่ผ่านมาจ้างอยู่ที่ หนึ่งร้อยกว่าบาทต่อวัน แต่ปัจจุบันจ้างกันที่ 320 บาทต่อวัน (กรณีบริษัท MSB มีการจัดการแรงงานโดยตัวแทนบริษัทจัดหางาน ที่เข้ามารับเหมาในการจัดหาและคิดค่าจ้างไปครั้งเดียว) ซึ่งรวมถึงสวัสดิการต่างๆ แล้ว แต่ในกรณีของบริษัท TK นั้น ค่าจ้าง 300 บาท แต่สวัสดิการอื่นๆ เช่น ที่พัก ข้าว 3 มื้อ ค่าน้ำ บริษัท TK จะเป็นผู้จัดหาให้
มีสิ่งที่น่าคิดหลังจากนี้เป็นต้นไปคือ เมื่อเมืองเมียวดีมีเขตอุตสาหกรรมเมียวดี (Myawaddy Industrial Zone) เกิดขึ้นในอนาคตแล้ว (จริงๆ แล้วขณะนี้ เขตอุตสาหกรรมเมียวดีใกล้เสร็จสมบูรณ์ คาดว่าปลายปี 2557 น่าจะสมบูรณ์) เขตอุตสาหกรรมนี้ฯ ห่างจากตัวเมืองเมียวดีเพียง 11 กิโลเมตร หากเขตอุตสาหกรรมนี้เกิดแล้ว โรงงานเสื้อผ้าที่ตั้งอยู่ในแม่สอดเหล่านี้จะปิดตัวเองลงหรือไม่? แล้วหันไปตั้งโรงงานที่เขตอุตสาหกรรมเมียวดีหรือไม่? ทั้งนี้เพราะค่าจ้างในฝั่งเมียนมาร์ย่อมถูกกว่าฝั่งไทยมากโขอยู่และแรงงานก็มีเพียงพอ
คำตอบคือ “โอกาสมีห้าสิบเปอร์เซ็นต์ หรืออาจจะเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์” ครับ ขึ้นอยู่กับว่าค่าจ้างต่อวันในเมียวดีเป็นตัวกำหนด โดยค่าจ้างต่อวันที่เขตอุตสาหกรรมเมียวดีจ่ายกันอยู่นั้น สูงเพียงพอหรือใกล้เคียง 300 ต่อวันหรือไม่ ถ้าในเขตอุตสาหกรรมเมียวดี ซึ่งขณะนี้ค่าจ้างต่อวันในพื้นที่จ่ายกันอยู่ที่ไม่เกิน 100 บาทต่อวัน หากเราดูอย่างนี้ โรงงานเสื้อผ้าน่าจะย้ายเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมเมียวดีเพราะค่าจ้างถูกกว่า
การวิเคราะห์อย่างนี้ อาจจะผิดเพราะค่าจ้างที่ถูกแรงงานเมียนมาร์ไม่รับที่ค่าจ้างถูก แม้ว่าโรงงงานไปก็ตาม แต่ความเสี่ยงที่ต้องประสบทันที่คือการขาดแคลนแรงงานในพื้นที่ เพราะแรงงานเหล่านี้จะหันมารับจ้างในแม่สอดที่มีค่าจ้าง 300 บาทต่อวัน รวมสวัสดิการอาจจะมากกว่า 300 บาท หากเป็นอย่างนี้เขตอุตสาหกรรมเมียวดีจะไม่มีนักลงทุนไปลงทุนหรือ
จะว่าไปแล้ว ผมคิดว่าน่าจะเป็นโอกาสของนักธุรกิจทางชาติมากกว่านักธุรกิจไทย และเขตอุตสาหกรรมเมียวดีจะประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อการบริหารต้นทุนและค่าจ้างที่เหมาะสมจึงจะสามารถดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้าไปได้ ผมคิดว่าค่าจ้างต่อวันในเขตอุตสาหกรรมเมียวดีไม่ควรเกิน 150 บาทต่อวัน จึงพอที่จะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้ หากเขตอุตสาหกรรมสามารถหาจุดเหมาะสมเรื่องค่าแรงงานที่ไม่สูงเท่ากับแม่สอดและต่ำกว่าแม่สอด ผมคิดว่า อุตสาหกรรมไทยก็อาจจะไปลงทุนเช่นกัน