จะมีสักกี่อาชีพที่จะสืบทอดต่อกันมานานเป็นสิบสิบปีได้อย่างมั่นคง ซึ่งนับว่าต้องมีการบริหารงานที่ดี และพยายามที่จะพัฒนาให้อยู่ในความต้องการของผู้บริโภค อย่าง “ธุรกิจแสงทองผ้าใบ” นี้ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นธุรกิจครอบครัวที่ถูกมอบให้ลูกหลานได้สืบทอดต่อกันมา ที่เริ่มจากหนึ่งไปจนถึงร้อย กระทั่งประสบความสำเร็จได้ด้วยดี
“คุณวีระพงษ์ เดชาทวีกุล” พี่ชายคนโตของครอบครัวเดชาทวีกุล เจ้าของธุรกิจแสงทองผ้าใบ ซึ่งเป็นทายาทเบอร์หนึ่งที่ต้องเข้ามารับภาระสานต่อกิจการครอบครัว
คุณวีระพงษ์ เดชาทวีกุล เล่าว่า ธุรกิจแสงทองผ้าใบก่อตั้งโดยคุณพ่อและคุณแม่เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว โดยเริ่มจากธุรกิจเกี่ยวกับผ้าใบกันแดดกันฝนธรรมดาเท่านั้น แต่ถ้าให้ย้อนเล่าไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ตอนนั้นธุรกิจผ้าใบนี้เป็นธุรกิจขนาดเล็กที่เริ่มทำแค่เพียง 2 คน กระทั่งตอนนี้ภายในบริษัทมีพนักงาน 300 คน มียอดขายเกือบ 400 ล้านบาท แต่ยังไงก็ยังเป็นธุรกิจครอบครัวอยู่ดี จนมาถึงปัจจุบันนี้ ได้แบ่งธุรกิจเป็น 3 ส่วน คือ ธุรกิจติดตั้งเซอร์วิสผ้าใบชักรอก ธุรกิจเต็นท์เช่า และธุรกิจนำเข้าอะลูมิเนียมมาทำกันสาดอะลูมิเนียม ซึ่งภายในครอบครัวตนเป็นพี่ชายคนโต มีน้องชาย 2 คน และน้องสาวอีก 1 คน ซึ่งสมาชิกในครอบครัวมีญาติทั้งหมดประมาณ 10 คนที่เข้ามาช่วยบริหารธุรกิจผ้าใบ
“สำหรับตัวผมได้เข้ามาช่วยกิจการครอบครัวหลังจากเรียนจบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเอแบค ตอนนั้นอายุประมาณ 20 ต้น ๆ ที่จบมาใหม่ ๆไฟแรงมาก ทฤษฎีในหัวเพียบ โปรโมชั่นต้องอย่างนี้ การตลาดต้องอย่างนั้น เมื่อได้เข้าสืบทอดกิจการในวันแรกปรากฏว่า คุณแม่ให้ทำแค่ยกของซึ่งเป็นอะลูมิเนียมหนัก 20 กิโลกรัม ส่งให้ลูกค้า และลูกค้าก็มีอยู่ทั่วประเทศก็ต้องไปส่งให้เขา และทำอยู่มาถึง 2 ปี ก็คิดว่าถ้าอยู่อย่างนี้ต่อไปสมองฝ่อแน่ ก็เลยตัดสินใจไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเอแบคด้าน MBA ภาคกลางคืน เพื่อเพิ่มพูนความรู้ตนเอง ส่วนตอนกลางวันก็ยังช่วยงานที่บ้านเหมือนเดิม การที่เรียนไปด้วยแล้วทำงานไปด้วย ทำให้เราเรียนได้ดีขึ้น เพราะเราได้ไปสัมผัสลูกค้าโดยตรง ได้สัมผัสของจริงมาแล้ว ก็ทำให้เรารู้ว่ามันต้องมีประสบการณ์ด้วยนะ ไม่ใช่ว่าเรียนด้านวิชาการอย่างเดียว”
วีระพงษ์ เล่าถึงปัญหาในกระบวนการทำงานว่า ปัญหาอย่างแรกที่พบอยู่ทัศนคติของเจ้าของกิจการตัวจริง ซึ่งก็คือคุณพ่อคุณแม่ที่ยังไม่มีเชื่อมั่นต่อความสามารถของตน ทำให้ต้องเรียนรู้งานจากระดับเล็กๆไปก่อน ฉะนั้นต้องใช้เวลาพิสูจน์ โดยต้องอดทนในการอธิบายให้เขาเข้าใจ อย่างเช่น เรื่องการจ้างพนักงาน ที่พอธุรกิจเราโตขึ้นต้องมีมืออาชีพเข้ามาช่วย ซึ่งจะจ้างเงินเดือน 12,000 บาท เขาคงไม่มาทำกับเรา ซึ่งบางทีต้องจ้างถึง 30,000 บาทเพื่อให้เขายอมมาทำงานกับเรา หรืออย่างการขอซื้อเครื่องจักร 4 ล้านบาท ก็ต้องอธิบายเหมือนกันกว่าจะผ่านการอนุมัติ บางทีต้องใช้เวลาเป็นปี ดังนั้นการที่ทำให้ลอจิสติกส์ดีขึ้น ก็ทำให้กำลังการผลิตขยายตัวมีตลาดรองรับ แต่พอคุณพ่อและคุณแม่เริ่มเห็นผลงานเรามากขึ้นก็จะยอมรับเรามากขึ้นเช่นกัน
สำหรับการวางแผนทำธุรกิจในแบบครอบครัวนั้น ดีในส่วนที่พูดคุยได้ง่ายและสะดวก บางทีอาทิตย์หนึ่งกินข้าวกันทีหนึ่ง หรือสองอาทิตย์ไปกินข้าวกันทีหนึ่ง ก็สามารถพูดคุยปรึกษากันให้เกิดความเข้าใจต่อกัน ถึงแม้เราจะจบมาสูงในระดับไหนก็ตาม จะมั่นใจมากขนาดไหน แต่ในตำรามีแต่วิชาการเท่านั้น แต่ศิลปะการจัดการในตำราไม่มีสอน หลังจากที่เปิดหนังสืออยู่ 2 – 3 ปีแรก แต่ก็ต้องวางหนังสือหมด แล้วต้องเอาสิ่งที่ได้เรียนมาประยุกต์ใช้แทนซึ่งจะได้ผลมากกว่า อย่างไรก็ตามเพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมาในการเข้ามารับช่วงสานต่อกิจการครอบครัว สิ่งที่ทุกครอบครัวควรจะมีก็คือ ธรรมนูญครอบครัว ที่เป็นกฎระเบียบ ความยุติธรรม เพราะบางทีมีพี่น้อง มีลูกหลานเยอะในส่วนของค่าใช้จ่ายต่างๆ เราจะถือเป็นของบริษัทหรือของส่วนตัว เช่น บัตรเครดิตจะใช้แบงก์ไหนดี คนละกี่ใบ ประกันชีวิตจะมีคนละกี่ฉบับ การศึกษาจะเรียนต่างประเทศหรือในประเทศ เหล่านี้มันเป็นผลประโยชน์ของครอบครัวที่เกี่ยวข้องกันหมด ถ้าเราไม่เซตหรือตั้งกฎระเบียบให้ดี ก็อาจมีปัญหาทำให้ธุรกิจนั้นแตกแยกได้
สำหรับธุรกิจแสงทองผ้าใบปัจจุบันตนรับหน้าที่ดูแลธุรกิจ 2 ส่วน คือ ธุรกิจติดตั้งเซอร์วิสผ้าใบชักรอก และธุรกิจนำเข้าอะลูมิเนียมมาทำกันสาดอะลูมิเนียม ส่วนธุรกิจเต็นท์เช่าน้องชายกับน้องสะใภ้เป็นผู้ดูแล แต่โดยภาพใหญ่ในเรื่องของนโยบายหลัก คุณพ่อคุณแม่ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการตัวจริงก็ยังเป็นผู้ดูแลอยู่เหมือนเดิม คุณวีระพงษ์กล่าวทิ้งท้าย
ถึงแม้การทำธุรกิจเป็นครอบครัวจะทำให้รู้สึกว่าสบายใจมากกว่าไปร่วมลงทุนกับนักธุรกิจคนอื่น แต่ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจแบบไหนก็สามารถมีปัญหาได้ทั้งนั้น ถ้าหากเราไม่รู้จักวางแผนธุรกิจของตนเองให้เป็นสัดส่วน และต้องมีการจัดการอย่างตรงไปตรงมา