ซื้อขาย-เช่าทรัพย์-เช่าซื้อ-ลิสซิ่ง


ในการดำรงชีวิตประจำวัน และในการทำธุรกิจค้าขาย ส่วนมากเราจะคุ้นเคยกับคำว่าซื้อขายและเช่า จนมีประโยคที่พูดแบบประชดประชันว่า ไม่ได้ร่ำรวยมาจากไหน บ้านต้องเช่า ข้าวต้องซื้อ สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจก็เช่นเดียวกัน ที่เห็นกันส่วนใหญ่คือ เช่าสำนักงานสำหรับการประกอบธุรกิจ ส่วนเช่าซื้อก็เริ่มเป็นที่คุ้นเคยไม่แพ้คำว่าเช่า ถึงแม้จะมีความสับสนกันอยู่บ้างระหว่างการผ่อนชำระค่าสินค้า หรือชำระเงินกู้ค่าซื้อบ้าน แต่ที่นิยมแพร่หลายคือการเช่าซื้อรถยนต์ ในระยะหลังมีธุรกิจเริ่มนิยมกันมากขึ้นคือการทำธุรกิจลิสซิ่ง จึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ลิสซิ่งคืออะไร เหมือนหรือไม่เหมือนกันกับการเช่า เช่าซื้ออย่างไรมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องซื้อขาย เช่า เช่าซื้อ และลิสซิ่ง กันเลย

1. ซื้อขาย (SALE)

ซื้อขายคือสัญญาประเภทหนึ่ง ที่บุคคลฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้ขาย โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งที่เรียกว่า ผู้ซื้อ โดยผู้ซื้อตกลงใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย เช่น ตกลงซื้อรถยนต์คันละ 1 ล้านบาท เมื่อจ่ายเงิน 1 ล้านบาทให้เจ้าของ เจ้าของก็โอนรถยนต์คันนั้นให้ผู้ซื้อ แต่ก็มีบางกรณีคือโอนทรัพย์สินที่ให้แล้ว อาจมีเงื่อนไขจ่ายค่าสินค้าเป็นงวดๆ ก็ได้ หรือในกรณีซื้อบ้าน เจ้าของบ้านโอนกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินให้แล้ว ผู้ซื้อบ้านนำบ้านนั้นไปจำนองธนาคาร เพื่อกู้เงินจ่ายเงินค่าบ้านและที่ดินให้เจ้าของโครงการ และเจ้าของบ้านผ่อนเงินกู้กับธนาคารอีกทอดหนึ่ง

2. เช่าทรัพย์(Hire of Property หรือ Rent)

เป็นสัญญาประเภทหนึ่งที่บุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้ให้เช่าตกลงให้บุคคลอีกคนหนึ่งได้ใช้ หรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ โดยผู้เช่าต้องจ่ายค่าเช่าให้ผู้ให้เช่าตามที่ตกลงไว้ เช่น นาย ก.ให้นาย ข.เช่ารถยนต์เป็นเวลา 7 วัน ตกลงค่าเช่ากันวันละ 1,000 บาท นาย ข.สามารถใช้รถยนต์นั้นได้ตามที่ตกลง หรือที่ทำเป็นธุรกิจคือกิจการให้เช่ารถยนต์ทั้งไทยทั้งเทศ สำหรับการใช้บริการรถแท็กซี่นั้น ผู้ใช้บริการรถแท็กซี่ไม่ใช่ผู้เช่า แต่เป็นการจ้าง ผู้ขับรถแท็กซี่เป็นผู้รับจ้าง ส่วนคนขับแท็กซี่อาจเป็นผู้เช่ารถจากเจ้าของอู่แท็กซี่อีกทอดหนึ่ง

ในปัจจุบันส่วนราชการหลายแห่งนิยมเช่ารถ ทั้งรถประจำตำแหน่ง และรถยนต์กลาง แทนการซื้อกันมาก ทั้งนี้น่าจะเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าการซื้อ

3. เช่าซื้อ (Hire Purchase)

คือ สัญญาที่เจ้าของทรัพย์สินเอาทรัพย์สินให้เช่า โดยมีข้อตกลงว่าจะขายทรัพย์สินนั้น หรือให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของผู้เช่า เมื่อผู้เช่าได้จ่ายเงินให้เจ้าของทรัพย์สินตามจำนวนงวดตามที่ตกลงกันไว้ เช่น เจ้าของรถยนต์ตกลงให้นาย ง.เช่าซื้อรถยนต์ โดยจะต้องจ่ายค่างวดให้ทุกเดือนตามที่ตกลงไว้จำนวนกี่เดือน เมื่อชำระเงินครบตามที่กำหนดไว้ ก็ตกลงจะไปโอนรถยนต์นั้นให้นาย ง.ต่อไป สำหรับการเช่าซื้อรถยนต์กันโดยทั่วไป หรือที่เรียกว่าการผ่อนรถนั้น ผู้เช่าหรือที่เรียกว่าผู้ซื้อรถ ไม่ได้ผ่อนกับผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายรถยนต์โดยตรง แต่ทำสัญญาเช่าซื้อ (หรือผ่อน) กับผู้ให้สินเชื่อ ซึ่งอาจจะเป็นบริษัทในเครือกับผู้ผลิตหรือจำหน่ายรถยนต์ก็ได้ ในร่างการเช่าซื้อรถยนต์ เจ้าของรถตามที่ปรากฏในทะเบียนคือ บริษัทผู้ให้สินเชื่อหรือผู้ให้เช่าซื้อ เมื่อผ่อนชำระแล้วผู้ให้เช่าซื้อจึงจะโอนรถให้ผู้เช่าซื้อในภายหลัง ฉะนั้น ท่านที่เช่าซื้อรถยนต์ทั้งหลายอย่าเข้าใจผิดนะครับว่า ตนเองมีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่เช่าซื้อหรือผ่อนส่ง ถ้าเผลอไปทุบรถประท้วงอาจจะเข้าข่ายทำให้เสียทรัพย์ หากนำรถนั้นออกไปขายต่อ โดยเฉพาะลักลอบไปขายยังประเทศเพื่อนบ้าน จะเข้าข่ายยักยอกทรัพย์

4.ลิสซิ่ง (LEASING)

เป็นธุรกิจที่เพิ่งจะเริ่มรู้จักกันไม่นานนัก จะเป็นรูปแบบที่นำมาจากต่างประเทศ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในเรื่องเอกเทศสัญญา มีบทบัญญัติเกี่ยวกับซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ เช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ แต่ยังไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับลิสซิ่งไว้เป็นการเฉพาะ

สัญญาลิสซิ่งคืออะไร

เมื่อพิจารณาจากรูปแบบของสหรัฐอเมริกา ลิสซิ่งคือสัญญาที่เจ้าของทรัพย์สินรถยนต์ (LESSOR)ให้บุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง (LESSEE) ใช้ประโยชน์จากรถยนต์นั้นได้ โดยมีเงื่อนไขและข้อจำกัดตามที่ระบุในสัญญา และต้องชำระราคาตามที่กำหนดไว้

หากพิจารณาจากความหมายข้างต้น จะทำให้เห็นไปได้ว่า Leasing ก็คือสัญญาเช่าทรัพย์นั่นเอง แต่ความจริงในสัญญาลิสซิ่งรถยนต์ ยังมีรายละเอียดซึ่งแตกต่างจากสัญญาเช่าทรัพย์คือ

  • สัญญาลิสซิ่งส่วนมากจะมีข้อกำหนดว่า ถ้าเลิกสัญญาก่อนกำหนดจะต้องเสียค่าปรับตามที่กำหนดไว้ ยิ่งเลิกสัญญาเร็วขึ้นค่าปรับส่วนนี้ก็มากขึ้นตามส่วน โดยมากสัญญาลิสซิ่งจะมีระยะเวลาที่ยาวกว่าการเช่ารถธรรมดา เช่น กำหนดระยะเวลาตั้งแต่ 2 ปีถึง 4 ปี ซึ่งต่างจากการเช่ารถทั่วไปที่เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ (ยกเว้นการเช่ารถที่ใช้ในส่วนราชการที่มีระยะยาวเช่นเดียวกัน)
  • อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเมื่อสิ้นสุดสัญญา เช่น สิ้นสุดสัญญาต้องจ่ายค่าเสื่อมสภาพที่เกินกว่าที่กำหนดไว้ เป็นต้นว่าไม่รักษารถทำให้มีรอยขีดข่วน หรือเสียหายมากกว่าที่ควรจะเป็น หรือต้องจ่ายค่าใช้รถที่มีระยะทางการใช้รถต่อเดือนเกินกว่าที่กำหนดไว้
  • เมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลงส่วนมากจะมีข้อตกลงว่า ผู้เช่าแบบลิสซิ่งจะซื้อรถนั้นหรือไม่ก็ได้ เป็นทางเลือกของผู้เช่า ถ้าตกลงซื้อก็จะต้องจ่ายค่ารถนั้นเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่งตามที่กำหนดไว้

เมื่อพิจารณาจากข้อกำหนดที่ว่า เมื่อสัญญาสิ้นสุดลงผู้เช่าจะซื้อรถนั้นหรือไม่ก็ได้ เป็นทางเลือกของผู้เช่าแบบลิสซิ่ง ซึ่งจะต่างกับสัญญาเช่าซื้อ เพราะสัญญาเช่าซื้อนั้นกำหนดไว้เลยว่ากรรมสิทธิ์จะตกเป็นของผู้เช่าซื้อเมื่อชำระครบ แต่สัญญาลิสซิ่งเปิดทางเลือกว่าจะซื้อหรือไม่ก็ได้ หากซื้อก็จ่ายเงินเพิ่มตามที่กำหนด

5.พิจารณาจากหลักการของสัญญาที่เป็นส่วนสำคัญ อาจเป็นข้อสรุปได้ดังนี้

  • สัญญาซื้อขาย กรรมสิทธิ์โอนไปเป็นของผู้ซื้อ เมื่อจ่ายเงินค่าซื้อขาย เว้นแต่จะมีข้อตกลงผ่อนเป็นงวดๆ
  • สัญญาเช่าทรัพย์ กรรมสิทธิ์จะตกไปเป็นของผู้เช่าซื้อเมื่อชำระครบตามงวดที่กำหนด แต่ผู้เช่ามีสิทธิครอบครองหรือใช้สอยทรัพย์สินนั้น ตามกำหนดเวลาโดยจ่ายค่าเช่า
  • สัญญาเช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อได้ครอบครองทรัพย์สินและใช้ประโยชน์จากทรัพย์ โดยจ่ายเงินให้ผู้ให้เช่าซื้อเป็นงวดๆ เมื่อครบงวดกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ตกเป็นของผู้เช่าซื้อ
  • สัญญาลิสซิ่ง ผู้เช่ามีสิทธิครอบครองทรัพย์สินและใช้ประโยชน์จากทรัพย์สิน โดยจ่ายค่าตอบแทนเป็นรายเดือน จะเลิกสัญญาก่อนก็ได้แต่เสียค่าปรับ เมื่อสิ้นสุดสัญญาผู้เช่าจะซื้อทรัพย์สินนั้นหรือไม่ก็ได้เป็นทางเลือกของผู้เช่า หากตกลงซื้อทรัพย์สินจะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกส่วนหนึ่ง

สัญญาเช่าทรัพย์สินเคยมีผู้นำมาประยุกต์ใช้กับคน ในสมัยที่มีฐานทัพอเมริกันในประเทศไทย คือการเป็นเมียเช่า สำหรับสัญญาลิสซิ่งไม่ทราบว่าจะมีการนำมาประยุกต์ใช้เป็นภรรยาแบบลิสซิ่งหรือไม่ คือในระหว่างสัญญามีสิทธิในฐานะเป็นภรรยา เมื่อสิ้นสุดสัญญาให้มีสิทธิเลือกว่าจะยุติตามสัญญา หรือตกลงเป็นภรรยาถาวรต่อไป  สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน สวัสดีครับ

อนิรุทธ์  พิริยศักดิ์มนตรี

e-mail : [email protected]

ที่มา : www.fpmconsultant.com