ในอดีตบริษัทต่างๆ มักจะแอบทำงานทดลองในห้องแห่งความลับอยู่หลังประตูปิดตาย เพราะกลัวความลับทางการค้าจะรั่วไหล แต่ทุกวันนี้โลกได้เปลี่ยนไปแล้วการพัฒนาเทคโนโลยีอย่าง รถไร้คนขับ และโดรนส่งของ ต้องนำเอามาทดสอบในพื้นที่จริงเท่านั้นถึงจะรู้ผลกันว่าใช้งานได้หรือไม่ หลาย เมืองไฮเทค ทั่วโลกกลายเป็นสนามเด็กเล่นของบรรดาเทคโนโลยีเหล่านี้ และนานวันเข้ามันก็กลายเป็นเรื่องปกติของเมืองนั้นจนกลายเป็นวัฒนธรรมไปเลยก็มี
นี่คือ 5 เมืองแรกที่มีวัฒนธรรมไฮเทคอยู่ในตัวพร้อมให้คุณสัมผัสแล้ววันนี้
Pittsburgh เมืองไฮเทคของ “รถไร้คนขับ”
จากเมืองแห่งอุตสาหกรรมเหล็ก กลายเป็นสนามซ้อมของบรรดาผู้ผลิต รถไร้คนขับ ไม่ว่าจะเป็น Uber, Ford และ Aurora ต่างก็พากันมาตั้งสำนักงานในเมืองนี้ และยังจะมีรายอื่นตามมาอีกจำนวนมาก ด้วยสภาพของเมืองที่เหมาะกับการทดสอบรถไร้คนขับอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้ง 4 ฤดู นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยแม่น้ำน้อยใหญ่ทำให้ในเมืองเต็มไปด้วยสะพานหลายร้อยอัน เหมาะมากที่จะทดสอบว่ารถที่ไม่มีคนขับนั้นจะสามารถทำงานได้อย่างถูกต้องหรือไม่ และมากไปกว่านั้น Uber เริ่มให้บริการแบบไร้คนขับกับคนในเมืองนี้ไปแล้วด้วย ใครอยากลองใช้บริการ รถไร้คนขับ ก็ตามไปลองกันที่เมือง Pittsburgh กันได้เลย
Reykjavik เมืองแรกที่ใช้ “โดรนอัตโนมัติ” ส่งของ
เรคยาวิก เมืองชื่ออ่านยากของไอซ์แลนด์ ต้นกำเนิดของการใช้โดรนอัตโนมัติส่งของ จริงๆ ก็ถือว่าเป็นเมืองเดียวบนโลกเลยก็ว่าได้ที่คนสั่งของจะได้รับสินค้าจากการส่งถึงที่ด้วยโดรน FlyTrex บริษัทจากอิสราเอลเข้ามาจับมือกับร้านค้าออนไลน์ชื่อ “Aha” ทำการส่งสินค้าที่สั่งผ่านทางออนไลน์ให้กับหน่วยกระจายสินค้าที่อยู่ในรัศมี 2 ไมล์จากสำนักงานใหญ่ จากนั้นพนักงานของ Aha จะทำการนำสินค้าไปส่งให้กับลูกค้าต่อไป ในอนาคตมีแผนที่จะส่งของโดยโดรนอัตโนมัติยังสนามหน้าบ้านของลูกค้าโดยตรง อีกไม่นานเกินรอเราก็จะสั่งของแล้วนั่งรอที่หน้าบ้านกันได้แล้ว
Moscow เมืองของ “กล้องวงจรปิด”
เมืองหลวงของรัสเซียมีเครือข่ายของกล้องจำนวน 146,000 ตัว เอาไว้คอยสอดส่องดูแลทุกตรอกซอกซอยเพื่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน ทุกวันนี้กล้องถูกใช้ในการตรวจสอบเรื่องของการเก็บขยะ, สัญญาณไฟจราจร, การเก็บกวาดหิมะบนท้องถนน ไปจนถึงการจัดระเบียบป้ายโฆษณาต่างๆ ว่าติดตั้งถูกกฎหมายหรือไม่ ตอนนี้รัฐบาลก็กำลังทำการอัปเกรดกล้องเพิ่มความสามารถขึ้นไปอีก โดยคาดหวังว่าจะให้ถึงระดับที่สามารถระบุตัวตนของคนทำผิดกฎหมายได้เลย อย่างเช่นหากคุณปล่อยให้สุนัขของคุณถ่ายบนฟุตบาทโดยไม่ทำการเก็บกวาดให้เรียบร้อย รับรองได้เลยว่าจะมีใบสั่งส่งตรงถึงบ้านให้ไปจ่ายค่าปรับ ตอนนี้หลายๆ เมืองก็กำลังพัฒนาเรื่องนี้กันอยู่ว่าแต่ กทม. ของเรายังมีกล้องดัมมี่อยู่อีกเยอะไหม
Chicago ติด “เซ็นเซอร์” กันทั้งเมือง
เมืองนี้ตั้งใจติดตั้งระบบเซ็นเซอร์เพื่อเก็บข้อมูลที่จำเป็นต่างๆ บนท้องถนนชนิดละเอียดยิบ เพื่อนำข้อมูลไปใช้งานที่เป็นประโยชน์ได้อย่างแท้จริง ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับเมืองใหญ่ๆ ก็หนีไม่พ้นเรื่องของมลภาวะในอากาศ และปัญหาการจราจร ซึ่งการติดตั้งเซ็นเซอร์จะทำให้สามารถนำเอาข้อมูลต่างๆ ที่ได้มาทำการแก้ปัญหาให้กับประชาชน มีการทดลองเรื่องของการส่งสัญญาณไฟจราจรไปยังรถไร้คนขับ เพื่อจัดการเกี่ยวกับปัญหาการจราจร เพื่อนำไปสู่การเป็นสมาร์ทซิตี้ในที่สุด งานนี้คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของ IoT (Internet of Things) เป็นแน่แท้
San Francisco เมืองไฮเทค ของจริง
Silicon Valley ตั้งอยู่ที่นี่ทำให้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมืองนี้คือแหล่งรวมตัวของความไฮเทคจนกล่าวได้ว่า “อนาคตอยู่ที่นี่” การเดินเล่นในเมืองนี้คุณจะได้รถพลังงานไฟฟ้าวิ่งผ่านไปมา บนฟุตบาทก็จะเจอหุ่นยนต์ส่งของตามบ้าน แน่นอนว่ารถไร้คนขับของ GM จะวิ่งไปมาให้เห็นอยู่บ่อยๆ นี่คงจะใกล้เคียงกับคำว่าเมืองในอนาคตมากที่สุด และกิจการเกี่ยวกับเทคโนโลยีก็ยังคงมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองนี้อยู่อย่างไม่ขาดสาย
ยังมีอีก 5 เมืองแห่งอนาคตที่เราจะนำมาแนะนำให้คุณอยากจะไปสัมผัส ไปลองเทคโนโลยีที่เข้าใกล้เราเข้ามาทุกวินาทีติดตามต่อได้ในตอนต่อไป
อ่านต่อตอนจบกันเลย
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก
Money.cnn.com