สสว. เดินหน้าให้ความรู้ด้านการตลาดผู้ประกอบการรายย่อยและวิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศ หวังพัฒนาศักยภาพให้สามารถแข่งขันได้ทั้งการตลาดออนไลน์และออฟไลน์ เผยโครงการเฟสแรกผลตอบรับดีเยี่ยม พบผู้ประกอบการเข้าร่วมแล้ว 6,487 ราย ใน 22 จังหวัด พร้อมต่อยอดสินค้าของผู้ประกอบการเข้าร่วมแล้วกว่า 2.5 หมื่นผลิตภัณฑ์ เร่งเสริมความแกร่งรายย่อยตามเป้าหมาย 10,000 ราย มั่นใจจะเป็นแรงหนุนดันเศรษฐกิจปี 2561
วันนี้ นายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า สสว. ได้แถลงข่าวความคืบหน้าการดำเนินงาน “กิจกรรมให้ความรู้ด้านการตลาด” ภายใต้โครงการประชารัฐเพื่อวิสาหกิจชุมชนและโครงการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจระดับเติบโต (SMEs Strong / Regular) เพื่อสนับสนุนให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย Micro SMEs และวิสาหกิจชุมชน
ทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายจำนวน 10,000 ราย ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการทั่วประเทศอย่างสูง
ผอ.สสว. กล่าวว่า โครงการดังกล่าวได้ดำเนินการจัดอบรมสัมมนาและ work shop ใน 3 หัวข้อหลัก ประกอบด้วย ข้อแรก กลยุทธ์การตลาดและวิธีขาย เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคในยุค 4.0 ข้อสอง มาตรฐานสินค้าและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อย ปรับแนวคิดรองรับการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีที่มีผลกระทบต่อการผลิต ด้านความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีต่อกิจการรวมถึงตราสินค้า และข้อสามการตลาดออนไลน์ เน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้เครื่องมือต่าง ๆ ในการทำตลาดออนไลน์ และการสร้างฐานลูกค้าในตลาดโลกออนไลน์ ให้สามารถเข้าถึงสินค้าและบริการอย่างมีประสิทธิภาพ
กิจกรรมนี้ แบ่งการดำเนินการเป็น 2 เฟส โดยเฟสแรก สสว.ดำเนินการเอง 11 จังหวัด และ สสว.ร่วมกับมหาวิทยาลัยสวนดุสิตอีก 30 จังหวัด ครอบคลุมผู้ประกอบการทั่วประเทศ ซึ่งการดำเนินงานกำลังจะเสร็จสิ้น
22 จังหวัด และมีผู้ประกอบการเข้าร่วม 6,487 ราย ถือได้ว่าเกินกว่าเป้าหมายของการดำเนินงาน และคาดว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายจำนวน 10,000 ราย ได้ภายในกลางเดือนธันวาคม 2560
“จากการประเมินผลการจัดกิจกรรมที่ผ่านมา พบว่า ผู้ประกอบการรายย่อยจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือ 5 อันดับแรก เรียงลำดับได้ดังต่อไปนี้ 1. การตลาดออนไลน์ 2. สินเชื่อจาก สสว. 3.พื้นที่การจำหน่ายสินค้าภายในประเทศ 4. การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการสร้างตราสินค้า 5. การจับคู่ธุรกิจและงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ” นายสุวรรณชัย กล่าว
ผอ.สสว. กล่าวว่า ผู้ประกอบการรายย่อยส่วนใหญ่มีความเข้าใจและตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่มีผลกระทบต่อกิจการและผลิตภัณฑ์มากขึ้น ซึ่งกิจกรรมนี้ช่วยทำให้เปลี่ยนแนวคิดและสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้พัฒนาความสามารถด้านการตลาดได้ตรงที่สุด ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่า จากความต้องการใน 5 อันดับแรก นั้น เป็นไปในทิศทางเกี่ยวกับด้านการตลาดถึง 4 เรื่อง ซึ่งคาดว่าผู้ประกอบการกว่า 10,000 รายนี้ พร้อมจะเป็นแม่ทัพการตลาดเอสเอ็มอีที่จะสร้างรายได้และขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กับประเทศได้ต่อไป
“ภารกิจของ สสว. จากนี้จะมุ่งเน้นการสานต่อกิจกรรมหรือโครงการต่างๆ ตามแผนงบประมาณปี 2561 ตามที่ได้จัดสรรไว้ให้ออกมาดีที่สุด เพื่อส่งเสริมให้ SMEs เติบโตอย่างแท้จริง ในขณะเดียวกัน สสว. ก็พร้อมที่จะเป็นเครื่องมือของภาครัฐที่จะช่วยผนึกกำลังกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อบูรณาการทำงานช่วยเหลือเยียวยา SMEs เป็นการเร่งด่วนตามโจทย์ที่รัฐบาลกำหนด โดยมีสิ่งที่ควบคู่กันไป คือ การสร้างสรรค์พัฒนาสิ่งใหม่ให้เกิดขึ้นได้จริงอย่างรวดเร็ว ภายใต้แนวคิด “Reinventing SMEs Future” คือ การวางรากฐานสร้างอนาคตให้ SMEs ไทย เพื่อรองรับการแข่งขันบนโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยมี 3 นโยบายสำคัญ ที่ต้องการผลักดันให้เกิดผลงานเป็นรูปธรรม คือ Transformation, Internationalization และการพัฒนาเครือข่ายกลุ่มใหม่ เพื่อลดอัตราการล้มหายตายจากของ SMEs และส่งเสริมให้ SMEs รู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจได้ในโลกการแข่งขันยุคดิจิทัล” ผอ.สสว. กล่าว
สสว.แถลงข่าวโครงการติดอาวุธการตลาดให้ SMEs และ OTOP
เสวนาในงาน
แถลงข่าวโครงการติดอาวุธการตลาดให้ SMEs