เพจ Billionaire Mindset – แนวคิดพันล้าน ได้ลงเนื้อหาในประเด็น ร้านโชห่วย กำลังจะตาย ซึ่งเป็นคำที่ถูกพูดถึงมานับ 10 ปี จากการเติบโตของร้านสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ ในข้อมูลพบว่า ตลาดค้าปลีกในประเทศไทย มีมูลค่าสูงถึง 3.3 ล้านล้านบาท หากนับเฉพาะสินค้าอุปโภค-บริโภคก็มีมูลค่ากว่า 500,000 ล้านบาท และเมื่อดูในตัวเลขส่วนแบ่งการตลาด ข้อมูลโดยบริษัทกันตาร์ เวิร์ลดพาแนล พบว่าส่วนแบ่งการตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในปี 2555
อันดับ 1 ร้านโชห่วยและร้านค้าในชุมชน 34.3% อันดับ 2 ไฮเปอร์มาร์เก็ต เช่น โลตัส บิ๊กซี 20.1% อันดับ 3 ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven หรือแฟมิลีมาร์ท 13.8% ผ่านไป 5 ปี ส่วนแบ่งการตลาดในปี 2560 ยังมีอันดับเหมือนเดิม แต่มีเปอร์เซ็นต์ที่เปลี่ยนไป อันดับ 1 ร้านโชห่วยและร้านค้าในชุมชน 32.4%
อันดับ 2 ไฮเปอร์มาร์เก็ต 18.4% อันดับ 3 ร้านสะดวกซื้อ 17% และผู้เล่นหน้าใหม่ โลกออนไลน์ 1.2% อันดับดังกล่าวสะท้อนว่าร้านค้าโชห่วย และห้างสรรพสินค้ามีส่วนแบ่งการตลาดลดลง ในขณะที่ร้านสะดวกซื้อมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งการขายผ่านออนไลน์ เติบโตขึ้นพร้อมกับการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่มากขึ้น ครอบครัวของคนรุ่นใหม่มีขนาดเล็กลง คนต่างจังหวัดอยู่ในเมืองมากขึ้น ขณะที่คนกรุงเทพนิยมอยู่คอนโดมากกว่าบ้าน การซื้อของใช้ทีละมากๆ ในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่จึงลดลงตามไปด้วย
แสดงว่าในปัจจุบัน ร้านโชห่วยยังมียอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคในปีล่าสุด รวมกันสูงถึง 145,000 ล้านบาท ร้านโชห่วยกำลังจะตายจริงหรือ? หากนับสาขาร้านสะดวกซื้อในไทย มีจำนวนประมาณ 15,000-16,000 สาขาในจำนวนนั้น 7-Eleven ครองส่วนแบ่งมากที่สุด ประมาณ 11,000 สาขา ขณะที่ร้านโชห่วย ถูกประเมินเอาไว้โดยบริษัทนีลเส็น ว่ามีอยู่ในไทยประมาณ 400,000 ร้าน แต่สถิติที่น่าสนใจก็คือ ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการ “เปิดร้านโชห่วยเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ปิดตัวลง” เนื่องจากคนรุ่นใหม่หลายคนมองว่าธุรกิจร้านขายของชำยังไปต่อได้ พอเบื่องานประจำก็นำเงินมาลงทุน และคนวัยเกษียรจำนวนไม่น้อยก็หันมาเปิดร้านของชำ ขณะที่บางร้านรุ่นลูกหลานรับช่วงกิจการต่อก็ปรับปรุงร้านให้ทันสมัยสู้กับร้านสะดวกซื้อยุคใหม่ นั่นแสดงว่าหากธุรกิจร้านโชห่วยจะสามารถไปต่อได้ ต้องขึ้นอยู่กับการปรับตัว และกลยุทธ์ของแต่ละร้าน พร้อมดึงจุดเด่นของตัวเองออกมา และลบจุดด้อยทิ้งไป น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ได้ผลมากที่สุด ซึ่งข้อได้เปรียบของร้านโชห่วยคือ
- การเข้าถึงและรู้จักลูกค้าที่มากกว่า เพราะส่วนใหญ่จะเป็นร้านค้าในชุมชน
- ระบบอันเป็นเอกลักษณ์ของโชห่วยไทย ไม่ว่าจะเป็น บุหรี่แบ่งขาย หรือการเซ็นไว้จ่ายสิ้นเดือน ล้วนเป็นสิ่งที่ร้านสะดวกซื้อให้ไม่ได้
- การจัดโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมได้อย่างอิสระ ไม่มีสัญญาผูกมัดกับผู้ส่งของ
- การสร้างจุดเด่นแบบที่ร้านสะดวกซื้อทำไม่ได้ เช่น ร้านบิ๊กเต้ ร้านชื่อดังแถว ม.ธรรมศาสตร์ จัดชุดไข่ต้มแก้บนสำหรับนักศึกษา และสรรหาโปรโมชั่นใหม่ๆ มาเอาใจลูกค้าอยู่เสมอ
สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัว เช่น ร้านกาแฟท้องถิ่นจะต้องปรับตัว เมื่อมีสตาร์บัคส์มาเปิดในคอมมูนิตี้มอลล์ใกล้ๆ ยูทูบเบอร์ก็ต้องปรับตัว เมื่อดาราและเซเลบ หันมาทำรายการลงยูทูบมากขึ้น ธุรกิจมือถือค่ายเล็ก ก็ต้องปรับตัว เมื่อค่ายใหญ่นั้นขายทั้งสเปคที่ดีกว่า แถมมีต้นทุนถูกกว่า แล้วเราจะทำโปรโมชั่นอะไรให้ขายได้ แม้แต่สายการบินรายใหญ่ ก็ยังต้องปรับตัวเมื่อมีสายการบินโลว์คอสมาให้บริการ แม้จะราคาต่างกันก็ตามที “การปรับตัว” ขายจุดเด่นของตัวเอง และแก้ไขจุดด้อยที่มี น่าจะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความอยู่รอดของธุรกิจร้านโชห่วย เช่นเดียวกับอีกหลายๆ ธุรกิจ