ญี่ปุ่น จากดินแดนไร้กลิ่นสู่ยุคทองของ “น้ำหอม”

สำนักงานตัวแทนส่งเสริมการค้า ณ เมืองฮิโรชิมา ระบุว่า ตลาดน้ำหอมในญี่ปุ่นกำลังเป็นที่สนใจ แม้ว่าน้ำหอมจะมีสัดส่วนเพียง 1.3% ของมูลค่าตลาดเครื่องสำอางทั้งหมดในประเทศ แต่มูลค่าการจำหน่ายกลับมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงปี 2021-2023 ซึ่งมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นถึง 1.4 เท่าต่อปี ในปี 2023 ยอดขายรวมแตะ 8,997 พันล้านเยน และคาดการณ์ในปี 2024 จะทะลุ 10,000 ล้านเยน การเติบโตนี้สะท้อนถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นในสังคมญี่ปุ่น แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากโควิด-19

ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโต
หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือค่าเงินเยนที่อ่อนตัว ทำให้ราคานำเข้าเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อมูลค่าสินค้ารวม อีกทั้งยังพบว่าผู้บริโภคญี่ปุ่นหันมาใช้น้ำหอมกันมากขึ้น โดยเฉพาะหลังการแพร่ระบาดของโรคที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้จ่าย

ประเภทน้ำหอมในตลาดญี่ปุ่น
น้ำหอมในญี่ปุ่นแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ได้แก่

1. น้ำหอมแบรนด์หรูนำเข้า เช่น Chanel, Dior, และ Louis Vuitton
2. น้ำหอมผลิตในประเทศ ทั้งในระดับพรีเมียมและราคาย่อมเยา เช่น Shiseido และ Kao
3. น้ำหอมนิช (Niche Fragrances) ที่เน้นเอกลักษณ์และความพิเศษเฉพาะตัว เช่น การผลิตในจำนวนจำกัด การใช้วัตถุดิบธรรมชาติที่หายาก หรือการสร้างกลิ่นที่ไม่เหมือนใคร
4. น้ำหอมส่วนบุคคล (Personalized Perfumes) ซึ่งปรับแต่งตามรสนิยมส่วนตัว

พฤติกรรมผู้บริโภคชาวญี่ปุ่น
ชาวญี่ปุ่นเคยถูกขนานนามว่า “ดินแดนทะเลทรายไร้กลิ่นน้ำหอม” เนื่องจากวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ไม่สนับสนุนการใช้น้ำหอมกลิ่นแรงในพื้นที่สาธารณะ แต่ยุคสมัยเปลี่ยนไป โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มมองหากลิ่นหอมที่สะท้อนเอกลักษณ์ส่วนตัว พฤติกรรมผู้บริโภคแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มหลัก

• กลุ่มที่เลือกซื้อตามภาพลักษณ์ของบุคคลโปรด เช่น ดาราหรือการ์ตูน
• กลุ่มที่หลงใหลในกลิ่น (Otaku) ซึ่งสนใจรายละเอียดอย่างลึกซึ้ง

โอกาสของผู้ผลิตน้ำหอมไทย
ตลาดน้ำหอมในญี่ปุ่นเปิดโอกาสใหม่ให้กับผู้ผลิตไทย น้ำหอมที่ใช้วัตถุดิบธรรมชาติพร้อมเรื่องราวที่ดึงดูดใจ เช่น ดอกไม้พื้นถิ่น สามารถตอบสนองความต้องการในตลาดนี้ การออกแบบบรรจุภัณฑ์และการรักษามาตรฐานคุณภาพก็เป็นกุญแจสำคัญในการดึงดูดผู้บริโภค