ในยุคที่ธุรกิจดิจิทัลแข่งขันดุเดือด และหลายองค์กรเร่งไล่ล่าตัวเลขยอดขายเป็นหลัก มีเอสเอ็มอีหนึ่งรายที่เลือกเดิน “เส้นทางต่าง” อย่างมีความหมาย

ธุรกิจที่เชื่อว่า ผลลัพธ์ทางธุรกิจและผลลัพธ์ทางสังคมต้องเติบโตไปพร้อมกัน ด้วยหัวใจสัมมาชีพและธรรมาภิบาลที่จับต้องได้ในทุกมิติของการทำงาน
ด้วยแนวคิดดังกล่าว “เวย์ เมคเกอร์” บริษัทให้คำปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์ จึงเป็นอีกบริษัทที่คว้ารางวัล “เอสเอ็มอีต้นแบบสัมมาชีพ” ประจำปี 2568 มอบโดยมูลนิธิสัมมาชีพมาครอง
ความโดดเด่นของบริษัทนี้ คือการเป็น “องค์กรคนรุ่นใหม่” ที่มีมุมมองในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจ ไปพร้อมกับดูแลพนักงานให้มีความสุข อีกทั้งยังยึดหลัก “สัมมาชีพ” มีธรรมภิบาล ส่งต่อความรู้-ความเชี่ยวชาญ และสนับสนุนการเงิน แก่สังคมชุมชนที่เข้าไปเกี่ยวข้อง

“ณกมล อัศวยนต์ชัย” หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทเวย์ เมคเกอร์ จำกัด เล่าถึงวิธีคิดในการตั้งบริษัทว่า ถูกออกแบบมาตั้งแต่ต้น นับตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี 2563 หรือเมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมา เพื่อ “เติมจุดขาด” ในฝั่งการตลาด, ฝั่งของการดูแลพนักงานซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ และฝั่งการดูแลสังคม และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง (Stakeholders)
ในฝั่งการตลาด เวย์ เมคเกอร์ จะให้บริการผสมผสาน (Hybrid) โดยเป็นทั้งบริษัทที่ปรึกษาทางการตลาด ซึ่งประกอบด้วย การนำเสนอแผนกลยุทธ์, การวิจัยการตลาด และการวัดผลการตลาด (Marketing ROI – Return on Investment) ให้กับลูกค้า และยังเป็นบริษัทเอเจนซีซึ่งมีหน้าที่นำแผนทางการตลาดไปสู่การดำเนินการ (Implement) ในช่วงเริ่มต้น เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการที่ครบวงจร สร้างความสะดวกและเชื่อมั่นให้กับลูกค้า
“ผมเคยทำงานอยู่บริษัทเอเจนซีและบริษัทวิจัยตลาด ทำให้มองเห็นว่า บริษัทที่ปรึกษาการตลาดในบ้านเรา จะเน้นการนำเสนอแผน บางรายไม่มีวิจัยการตลาด เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้เมื่อเสนอแผนไปแล้ว ลูกค้าอาจจะงงว่า แล้วทำยังไงต่อ
ผมมองว่าเป็นจุดที่ตลาดยังขาดอยู่ เราต้องเข้าไปเติมเต็ม โดยจะเป็นบริษัทที่ปรึกษาการตลาดที่เป็นบริษัทเอเจนซีไปในตัว เข้าไปช่วยลูกค้าทำแผน และผลการวิจัยตลาด ไปสู่การปฏิบัติในช่องทางการตลาดออนไลน์ เช่น สร้างเนื้อหา ยิงโฆษณา ฯลฯ ในช่วงตั้งไข่ และวัดผลการตลาด ก่อนจะปล่อยมือเมื่อลูกค้าพร้อม เพราะถ้าลูกค้าไปสร้างทีมใหม่ทันที อาจมีความเสี่ยง และไม่คุ้มค่า”
ณกมลยังย้ำว่า ในการทำตลาดออนไลน์ขององค์กรต่างๆ กุญแจสำคัญของความสำเร็จ ไม่ต่างจากการทำตลาดในรูปแบบอื่น นั่นคือ “การรู้จักลูกค้า” ต้องรู้ว่า ลูกค้าคือใคร ต้องการอะไร ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญของการออกแบบการให้บริการของเวย์ เมคเกอร์ ที่เน้นเรื่องการวิจัยการตลาด เสมือนการติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูก
ก่อนนำเสนอช่องทางการตลาดออนไลน์ ให้กับลูกค้า
การจับช่องว่างทางการตลาดดังกล่าว ณกมลระบุว่า ทำให้ธุรกิจของเวย์ เมคเกอร์ เติบโตต่อเนื่อง ปัจจุบันมีรายได้อยู่ที่กว่า 10 ล้านบาทต่อปี ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดกลาง หรือบริษัทที่มียอดขายปีละ 50-500 ล้านบาท และบริษัทที่มียอดขายราวปีละ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป

ผู้ก่อตั้ง เวย์ เมคเกอร์ ยังบอกด้วยว่า เพื่อสะท้อนวิธีคิดในการทำธุรกิจ ทำให้ที่ผ่านมาได้จัดทำหนังสือ 2 เล่ม ได้แก่ หนังสือชื่อ Marketing Research 101 และหนังสือชื่อ Marketing ROI ให้ผู้สนใจศึกษา พร้อมเปิดคอร์สออนไลน์อบรมผู้ประกอบการที่สนใจ รวมถึงบริจาคหนังสือส่งต่อความรู้ไปยังองค์กรต่างๆ เช่น TK Park เพื่อเปิดโอกาสผู้คนที่สนใจทั่วไป และชุมชนให้เข้าถึงความรู้ด้านการตลาด
ในฝั่งของการดูแลพนักงาน ณกมลเล่าว่า เวย์ เมคเกอร์ ปัจจุบันมีพนักงานรวมสองผู้ก่อตั้ง 10 คน (อายุเฉลี่ย 25-35 ปี) จึงออกแบบวิถีการทำงานตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ โดยนำ “ผลลัพธ์ของงาน” เป็นตัวตั้ง พนักงานไม่จำเป็นต้องเข้าสำนักงานทุกวัน สามารถทำงานได้ทุกสถานที่ ทำให้พนักงานสามารถบริหารชีวิตตัวเองได้อย่างคล่องตัว ทำให้เกิดความสุขในการทำงาน เกิด “สันติสุขในใจ”
“ทีมผม จะเลือกได้ว่า จะทำงานอย่างไร ทำที่ไหน อยู่ที่ไหนก็ทำงานได้ เข้าออฟฟิศสัปดาห์ละวัน ตราบที่งานเสร็จ จะเที่ยววันธรรดาก็ได้ แต่ต้องรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายให้ลุล่วง เนื้องานของบริษัทค่อนข้างหนัก แต่สิ่งที่ต่างคือวิธีการบริหาร โดยเราจะบริหารแบบคนโตๆ แล้ว ทำให้มีคนมาพูดกับผมบ่อยๆ ว่า อยากมาทำงานที่นี่เยอะมาก”
ด้านการดูแลสังคม และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง (Stakeholders) เอสเอ็มอีต้นแบบสัมมาชีพ รายนี้ ระบุว่า ให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล นิยามคือ “รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง” ไม่ต่างจากการ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ตามหลักสัมมาชีพ
“เพื่อนบ้าน หมายถึง คนรอบตัวที่เราไปเกี่ยวข้องด้วย แปลว่า เรารักลูกค้าเหมือนรักตัวเอง รักทีมงานเราเหมือนรักตัวเอง รักซัพพลายเออร์เหมือนรักตัวเอง รักชุมชนสังคมเหมือนรักตัวเอง เราเอาหมวกของเขามาใส่ คิดว่าถ้าเราเป็นเขา เราทำแบบนี้ เขาจะได้รับผลกระทบอย่างไร
เช่น หากผมประเมินแล้วว่า โมเดลธุรกิจของลูกค้าไม่คุ้มเงินที่จะจ้าง ผลลัพธ์ทางการตลาดเกิดขึ้นไม่มากพอ ผมก็จะบอกลูกค้าไปตรงๆ เพื่อไม่ให้เขาเสียเงินจ้าง
หรือกรณีของซัพพลายเออร์ เราก็จะกำหนดเครดิตเทอมไม่นาน เพื่อป้องกันซัพพลายเออร์ขาดสภาพคล่อง เป็นต้น” ณกมล กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการสนับสนุนสังคมต่อเนื่อง อาทิ การเข้าไปทำกิจกรรมกับคนไร้บ้าน ได้แก่ การตัดผม ทำเล็บ เล่นดนตรี, การรับเป็นที่ปรึกษาการตลาดระยะสั้น รวมถึงการเป็นวิทยากรให้ความรู้กับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และบริษัทเพื่อสังคม (Social Enterprise), การส่งเสริมและพัฒนาด้านเทคโนโลยี นวัตกรรมและการตลาดให้กับชุมชน/ชุมชนสามารถเข้าถึงความรู้การตลาด และข้อมูลเทรนด์ที่อัพเดตผ่านไฟล์หนังสือ e-Book รวมถึงการสนับสนุนทางการเงินให้กับกลุ่มเปราะบางในสังคม เป็นต้น
ผู้ก่อตั้ง เวย์ เมคเกอร์ ยังบอกด้วยว่า วิธีคิดในการทำธุรกิจของบริษัทฯ ทั้งในฝั่งการตลาด ฝั่งการดูแลพนักงาน และการดูแลสังคมและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง สะท้อนว่า บริษัทฯให้นิยามของความรวย (กำไรจากการประกอบธุรกิจ) ในมิติที่ต่างออกไป
“ไม่ใช่ว่าเราปฏิเสธความรวย แต่นิยามความรวยของเรา คือ ไม่ต้องรวยเวอร์ มีเงินเยอะๆ แล้วจบ ซึ่งมิติจะแบน แต่องค์กรเราคือ ฉันมีเงินเพียงพอที่จะจัดการกับสิ่งที่ฉันอยากจะทำได้เสมอ หมายถึง การออกแบบไลฟ์สไตล์หรือสิ่งที่เราอยากจะทำกับสิ่งที่เราเชื่อก่อน
เราจึงอยู่กับองค์กรกันด้วยความสุข ทุกคนที่เกี่ยวข้องรวยหมด ไม่ใช่เจ้าของรวยอยู่คนเดียว ปล่อยให้คนที่เหลือทำงานงกๆ โดนกดขี่จะไม่เกิดขึ้นในบริษัทนี้” ผู้ก่อตั้งบริษัทเวย์ เมคเกอร์ จำกัด เอสเอ็มอีต้นแบบสัมมาชีพปี 2568 กล่าว
เวย์ เมคเกอร์” จึงไม่ใช่แค่บริษัทที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์ แต่คือองค์กรที่กำลังวาดภาพใหม่ให้โลกธุรกิจ
ภาพที่ทุกฝ่ายเติบโตได้พร้อมกัน โดยไม่ต้องเบียดเบียนกัน และพิสูจน์ว่า “กำไรของบริษัท” และ “กำไรของสังคม” ไม่ได้เดินคนละทิศ หากแต่เป็นเส้นทางเดียวกันได้
Post Views: 55